รถตู้คันงามเลื่อนเข้ามาในบ้านเสน่ห์จันทน์ในเวลาประมาณสองทุ่ม ก่อนจอดที่หน้าบันไดบ้านและคนขับก็ลงมาเปิดประตูให้เพื่อนเจ้านายลงจากรถอย่างนอบน้อม เจิมจันทร์นวยนาดลงมายืนที่หน้าตีนบันได ก่อนหันไปยิ้มให้เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมากว่าสามสิบปีได้แล้วกระมัง
“ขอบใจนะแม่พรรณี อุตส่าห์มารับแล้วยังมาส่งฉันอีก”
พรรณีเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของเจิมจันทร์ นางยื่นหน้าออกมายิ้มให้ทางประตูที่เปิดกว้าง เทียบกันแล้ว พรรณีดูชรากว่าเจิมจันทร์มากเสียจนนางแอบถามเคล็ดลับของเจิมจันทร์หลายครั้งขณะอยู่ในงานเลี้ยงสมาคมศิษย์เก่า แต่เจิมจันทร์ก็งกสูตรงกเคล็ดลับเสียเหลือหลาย ไม่ยอมบอกเลยว่าดูแลตัวเองอย่างไรถึงยังดูสาวกว่าวัยโดยไม่ต้องพึ่งศัลยกรรม!
“ไม่เป็นไรจ้ะคนกันเอง แล้วเดี๋ยวฉันโทร.มาคุยเล่นด้วยนะ”
“จ้ะ” เจิมจันทร์ยิ้มส่ง จนรถตู้คันนั้นเคลื่อนตัวออกจากเรือนเสน่ห์จันทน์ลับตาไป ใบหน้ายิ้มแย้มของนางจึงแปรเปลี่ยนเป็นเรียบนิ่งปนดูแคลนเหยียดหยัน หน็อย อีพรรณี อีสอดรู้! อยากมารับมาส่งเพราะอยากเห็นความเป็นอยู่ของนางว่ายังร่ำรวยเหมือนเดิมหรือเปล่าละสิ
นี่หากไม่ใช่ว่างานนี้ไฮโซไฮซ้อตอบตกลงไปร่วมกันเยอะ เจิมจันทร์คงไม่เสียเวลานั่งรถไปกับพรรณีหรอก อีนี่มันสอดรู้สอดเห็นตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว แถมยังปากสว่าง เรียกได้ว่าพรรณีรู้ โลกรู้ เจิมจันทร์จึงต้องแสร้งทำดีกับมันต่อหน้าไม่ให้มันเอาไปพูดได้ว่านางไม่น่าคบหา
อย่างไรเสียหน้าตาในสังคมก็สำคัญที่สุดสำหรับ เจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์
หญิงสูงวัยหันไปทางบันไดเรือน หยุดตรงขั้นล่างสุดของบันไดครู่หนึ่งก็พึมพำบางอย่างก่อนกระแทกส้นเท้าลงไปอย่างเคียดแค้น และนางยังคงบ่นพึมพำขณะก้าวขึ้นบันไดไปราวกับกำลังสาปแช่งใครบางคนที่นางแสนจงเกลียดจงชัง!
ระหว่างทางขึ้นเรือน ผีพรายต่างพากันแย่งชิงเข้ามารายงานเรื่องสำคัญในวันนี้ แต่เจิมจันทร์ปราดตามองอย่างรำคาญ เพียงเท่านั้นพวกมันก็แตกฮือไปคนละทาง เกรงจะถูกจับไปให้ผีแคระแปดตนหลังโต๊ะหมู่บูชากินผีแคระพวกนั้นโหดเหี้ยม ดุร้าย จะไม่ออกมาจากที่อยู่หากเจิมจันทร์ไม่เรียก ผีทาสรับใช้ส่วนใหญ่หวาดกลัวพวกมันกันทั้งนั้น
กระทั่งเห็นประตูห้องของดมิสา หญิงชราก็โกรธจนเส้นเลือดปูดที่ศีรษะ อีหลานระยำ อีหลานอัปรีย์! มันอัญเชิญคุณพระศรีรัตนตรัยมาคุ้มเรือนหลังเล็กของมันทำไม หรือว่า...
หญิงชราตวัดสายตามองหาบรรดาผีรับใช้ที่เสนอหน้ากันมารายงานเมื่อครู่นี้ แต่พวกมันหายหัวไปหมดแล้ว...เจิมจันทร์รู้สึกสะท้านเยือกถึงสันหลังเมื่อเอะใจว่า ดมิสาอาจเห็นทุกอย่างที่นางปกปิดไว้หมดแล้ว!
อีเด็กนี่มันร้ายนัก มันอาจพยายามทำทุกอย่างเพื่อขัดขวางพิธีสืบทอดทายาทของนางก็ได้ ทั้งที่ตอนนี้ญานีนตระเตรียมร่างกายถือพรหมจรรย์ เรียนนั่งสมาธิและฝึกคาถามนตร์ดำใกล้ถึงขั้นที่จะรับสืบทอดวิชาชั้นสูงของนางได้แล้ว จะปล่อยให้อีหลานเวรตะไลมาขัดขวางไม่ได้เป็นอันขาด
ปังๆ!!
เจิมจันทร์เคาะประตูห้องนอนหลานสาวไม่ยั้ง กระทั่งประตูห้องเปิดออก มือเรียวมีริ้วรอยเหี่ยวย่นก็ตบฉาดลงที่แก้มของดมิสาเต็มแรง
“นี่แกสวดมนต์หรืออีมิ้งค์ ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้แกสวดมนต์ในบ้านหลังนี้!”
ดมิสายกมือขึ้นจับแก้ม วูบหนึ่งนั้นเจิมจันทร์แอบหวั่นเล็กๆ ว่านังหลานสาวตัวดีจะโกรธจนควบคุมตัวเองไม่อยู่ เพราะดวงตาของดมิสาลุกโชนขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็ดับหายไปด้วยการตั้งสติระลึกได้เองว่าไม่ควรโกรธ
“มิ้งค์เห็นผีน่ะค่ะยาย” หญิงสาวบอกตามตรงทำเอาเจิมจันทร์ชะงัก “...มิ้งค์ไม่เคยเห็นผีน่ากลัวแบบนั้นมาก่อน อยู่กันเต็มบ้านเลยด้วย มิ้งค์เลยสวดมนต์ไล่ค่ะ แต่นี่ยังไม่เห็นไปไหนกันเลย”
เธอแสร้งทำเป็นถอนหายใจและลดมือลงยกไหว้เจิมจันทร์ “มิ้งค์ขอโทษนะคะ มิ้งค์หายกลัวแล้วละ แค่อย่ามาแลบลิ้นปลิ้นตาหลอกมิ้งค์ก็พอ”
เมื่อดมิสามาไม้นี้ เจิมจันทร์ก็นิ่งอึ้งราวกับส้นเท้าถูกตอกตรึงไว้กับพื้นบ้าน นางรู้ว่าดมิสาไม่โง่ และอันที่จริงหากคิดจะทำขึ้นมา คนที่จะโกหกได้หน้าตายที่สุดก็ดมิสานี่แหละ!
“อย่าให้ฉันรู้ว่าแกทำอีก” เจิมจันทร์คาดโทษ “ไม่อย่างนั้นเรื่องไม่จบแค่นี้แน่!”
นางปรายตามองสุวรรณและออกคำสั่งให้ตามมา ก่อนสะบัดหน้าเดินเข้าห้องนอนส่วนตัวของตน ญานีนยังคงนั่งสมาธิอยู่ตามสั่ง เจิมจันทร์จึงค่อยอารมณ์ดีขึ้นนิดหนึ่ง
“ยิหวา แกออกไปก่อน” นางเดินไปนั่งลงยังเบาะรองนั่งตรงหน้าญานีน “ฉันมีอะไรต้องจัดการหน่อย”
แม้จะกลัวว่าดมิสาอาจมีภัย แต่ลำพังตัวเธอเองแค่คิดจะเอาตัวรอดจากยายยังทำไม่ได้เลย อีกอย่าง...วันนี้ดมิสาดูน่ากลัวจริงจังเสียจนญานีนอดคิดไม่ได้ว่า หากดมิสาเลือกทางเดียวกับยาย ญาติผู้พี่อาจไปได้ไกลกว่าเจิมจันทร์ก็ได้
คิดดังนั้นญานีนก็ยกมือไหว้ยาย แล้วลุกออกจากห้องพระไปอย่างเงียบเชียบ
เมื่อญานีนปิดประตูห้องพระเรียบร้อย สุวรรณก็ปรากฏกายจุดเดียวกับที่หญิงสาวเพิ่งลุกออกไป กุมารน้อยก้มกราบเจิมจันทร์ตัวสั่น และไม่ทันตั้งตัว หวายลงอาคมก็ฟาดเปรี้ยงมาที่หลัง! สุวรรณสะอึกอึ้ง ล้มลงนอนสั่นระ ริกด้วยความเจ็บปวด
เจิมจันทร์แปลกใจ ไม่คิดว่าไอ้ผีเด็กขี้ขลาดจะอดทนไม่ร้องออกมาสักแอะทั้งที่มันดูขี้กลัวไปหมด กลัวเจ็บ กลัวถูกทำโทษ แต่หญิงชราก็ไพล่คิดไปว่ามันอาจเจ็บจนร้องไม่ออก
“อีมิ้งค์มันมองเห็นมึงแล้วใช่ไหม ไอ้สุวรรณ!”
เจิมจันทร์กัดฟันกรอด แต่สุวรรณก็เจ็บปวดจนไม่อาจตอบคำถามได้ นางจึงวางหวายลงแล้วบริกรรมคาถา “สัมภเวสี จุตินัง ทาสรับใช้ของข้าจงมาปรากฏกายเบื้องหน้าข้าเดี๋ยวนี้”
ดวงวิญญาณที่ร่างกายปลิวไปปลิวมาราวกับริบบิ้นต้องลม ค่อยๆ ลอยลงมาปรากฏตรงหน้าเจิมจันทร์ มันกระหยิ่มใจนักที่เร็วกว่าดวงวิญญาณอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรรายงานคุณท่านอย่างที่สุด และไม่มีใครเหมาะสมที่จะได้รางวัลเท่ามันอีกแล้ว
‘คุณท่าน...’ ฝ่ามือที่ปลิวไปปลิวมาของมันจับข้อเท้าเจิมจันทร์แล้วแทรกศีรษะลงยังเท้าชราของเจ้านาย ‘ทูนหัวของบ่าว’
โดยไม่คาดคิด เจิมจันทร์ถีบเปรี้ยงจนผีร้ายกระเด็นลอยหายไป
“สาระแนนัก กูขอคนที่พูดรู้เรื่องกว่าอีนี่หน่อย ไอ้นพ! มึงอยู่ไหน”
วิญญาณเด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเจิมจันทร์ เขาเหลือบมองสุวรรณแวบหนึ่งอย่างสงสาร แต่แล้วก็ต้องหลุบตามองพื้น จะแสดงออกเช่นนั้นให้เจิมจันทร์รู้ไม่ได้เด็ดขาด
‘มิ้งค์เห็นทุกอย่างหมดแล้วขอรับ เหลือก็แต่วิญญาณที่คุณท่านใช้อาคมสะกดไว้ พวกนี้มิ้งค์ยังมองไม่เห็น ส่วนพวกที่พรางตาด้วยตัวเอง ตอนนี้ไม่สามารถพรางต่อได้แล้ว พลังของเธอรุนแรงขึ้นขอรับ อาจเพราะไปได้คาถาใหม่มาจากพระดิน...’ พรายนพเฉไฉไปทางนั้นเพื่อให้สุวรรณรอดตาย เขารู้ว่าสุวรรณเป็นเด็กดี เขาไม่อยากเห็นคนหรือผีดีๆ ตายต่อหน้าต่อตาอีกแล้ว ‘...เห็นว่าเป็นคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า’
“หน็อย อีเด็กเวร!” เจิมจันทร์กระแทกกำปั้นลงพื้นข้างกายดังปัง
“เอ็งทำดีมาก อยากได้อะไรเป็นรางวัล”
พรายนพก้มลงกราบ
‘แค่คุณท่านเมตตา ผมก็ซาบซึ้งอย่างหาที่สุดไม่ได้แล้วขอรับ’
เจิมจันทร์เหยียดยิ้มพอใจ ก่อนหันไปหาสุวรรณที่ดูเหมือนจะคลายความเจ็บปวดลงบ้างแล้ว กุมารน้อยค่อยๆ ยันกายขึ้นนั่งตรงหน้าเจิมจันทร์พยายามไม่ให้ตัวสั่น
“แกล่ะ ไอ้สุวรรณ” เจิมจันทร์หยิบหวายขึ้นมารอท่าอีกครั้ง “แกมีอะไรจะสารภาพก็ว่ามา”
สุวรรณก้มหน้าลงต่ำขณะเอ่ยตะกุกตะกัก
‘พี่มิ้งค์เห็นสุวรรณเป็นคนแรกคับคุณท่าน’ กุมารน้อยไม่ได้โกหก ก็เขาออกมาให้ดมิสาเห็นตั้งนานแล้ว ‘...สุวรรณหลบไม่พ้น เลยประจบพี่มิ้งค์ พยายามให้พี่มิ้งค์รักพี่มิ้งค์จะได้ไว้ใจ แต่สุวรรณไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับคุณท่านเลยนะคับ จะพิสูจน์อย่างไรก็ได้ สุวรรณพูดความจริง แล้วตอนนี้พี่มิ้งค์ก็ไว้ใจสุวรรณแล้วด้วยคับ’
เจิมจันทร์หรี่ตามอง ก่อนหยิบลูกอมเม็ดหนึ่งขึ้นมาบริกรรมคาถาสัจจะ หากมันผู้ใดกลืนลูกอมนี้แล้วพูดปด ชีวิตมันจะหาไม่! แต่ด้วยอำนาจของนาง ลูกอมนี้จะมีผลแค่สี่นาทีเท่านั้น
“แกกินนี่ซะ”
สุวรรณไม่รู้ว่าสิ่งที่เจิมจันทร์โยนมานั้นคืออะไร แต่ถ้าไม่กิน เขาคงโดนฆ่า กินเข้าไปก็อาจโดนฆ่า อย่างไรก็ต้องเสี่ยง กุมารน้อยจึงกลืนลูกอมเสกนั้นลงคอไปแล้วเงยหน้ามองเจิมจันทร์
“แกไม่ได้บอกอะไรมันเลยหรือเรื่องที่ข้ามีวิชาอาคม”
‘ไม่ได้บอกคับคุณท่าน’ สุวรรณตอบพลางก้มหน้าลงอีกครั้ง แต่ไม่มีท่าทีทรมานเลยเพราะเขาไม่ได้โกหก ที่ดมิสารู้เรื่องนี้ไม่ใช่เพราะเขา แต่เป็นเพราะตานี ญานีน และอัคนีต่างหาก
“แล้วแกได้พูดกับมันไหม เรื่องที่ข้าสะกดผีพรายพวกนั้นไว้ใช้งาน”
‘ไม่ได้พูดเลยคับ’
“แล้วแกได้บอกมันหรือไม่ว่า...” เจิมจันทร์ชะงักเมื่อเกือบหลุดปากว่านางสะกดวิญญาณสุวรรณไว้ในจี้เครื่องราง ไอ้ผีเด็กนี่มันโง่ ยังคิดว่านางสร้างมันขึ้นมา “...ว่าฉันสร้างแกขึ้นมา”
สุวรรณสั่นศีรษะก่อนตอบ
‘ไม่เลยคับ พี่มิ้งค์คิดว่าสุวรรณเป็นวิญญาณดูแลอัญมณีคับ’
เจิมจันทร์แปลกใจที่สุวรรณตอบความจริงทั้งหมด เช่นนี้แล้วมันก็ไม่ได้แปรพักตร์ แต่ยังจงรักภักดีกับนางเหมือนเดิม ถ้าอย่างนั้นนางจะมอบหมายให้สุวรรณทำงานเดิมต่อไป!
“กูขอสั่งให้มึงจับตาดูอีมิ้งค์ไว้” นางกัดฟันกรอดอย่างเคียดแค้น
“ถ้ามันแส่เข้ามาเสือกเรื่องของกูกับยิหวาเมื่อไหร่ ให้รีบมารายงานกูทันที!”
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **