ทดลองอ่าน ซีรีส์ร้อยเล่ห์เสน่ห์จันทน์ : เลื่อมลายพรายจันทร์ : ตอนที่ 24

 

 

ตอนที่ 24

 

 

บรรยากาศที่บ้านเสน่ห์จันทน์...ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว เมื่อดมิสาสามารถมองเห็นเหล่าดวงวิญญาณชั่วร้ายที่รายล้อมรอบบ้านได้ และพวกมันก็รู้ด้วยเพราะดมิสาตวาดนพ หญิงสาวเห็นวิญญาณสาวท้องแก่หวีดร้องโหยหวนบนต้นประดู่ เห็นวิญญาณชั่วเล่นทีเผลอฉีกร่างอีกฝ่ายกินอย่างสยดสยอง เห็นวิญญาณที่ตายจากการตีรันฟันแทง หน้าเละ ร่างกายขาดรุ่งริ่ง

แทบไม่มีวิญญาณปกติแบบนพออกมาให้เห็นอีกเลยนอกจากดวงวิญญาณน่ากลัวชั่วช้า หญิงสาวพยายามทำใจให้สงบ นั่งนิ่งอยู่ในรถที่ถนอมขับพาเข้าบ้าน แน่นอนว่าเป็นรถฟอร์ดของเธอเองเพราะหากเอารถของเจิมจันทร์ไปคงเป็นเรื่องใหญ่

ดมิสาก้าวลงจากรถ เดินผ่านวิญญาณเศร้าหมองของปิติ...ชายวัยราวสี่สิบปีเศษที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงตอไม้ ปิติเคยหลงรักเจิมจันทร์สมัยนางยังสาว ตามเทียวไล้เทียวขื่อไม่ยอมเลิกราจนถูกเจิมจันทร์ส่งผีไปฆ่า และตอนนี้ก็สะกดวิญญาณเขาไว้ในบ้าน

ดมิสาเดินผ่านปิติตรงไปยังบันไดบ้าน นับแต่เกิดมา เธอเห็นดวงวิญญาณรวมตัวกันมากที่สุดก็วันนี้ มิหนำซ้ำยังรวมกันอยู่ที่บ้านที่เธอเกิดและเติบโตด้วย หญิงสาวพยายามไม่สนใจ เดินขึ้นบ้านไปโดยไม่รู้เลยว่าเธอเดินผ่านคุณตาเดชสิทธิ์มา

เดชสิทธิ์นั้นรอดมิสากลับบ้านด้วยใจจดจ่อ ดีใจเหลือเกินที่หลานสาวมองเห็นดวงวิญญาณชั่วร้ายในบ้านนี้แล้ว เช่นนั้นดมิสาก็คงมองเห็นเขาด้วย

แต่อนิจจา...ดมิสามองเห็นแค่วิญญาณที่พรางกายด้วยพลังของตนเท่านั้น ขณะที่เดชสิทธิ์ถูกผู้อื่นสะกดไว้ไม่ให้ดมิสามองเห็น หลานสาวถึงได้เดินผ่านเขาไปราวกับเดชสิทธิ์เป็นอากาศธาตุไร้ตัวตน...

‘คุณท่านไม่อยู่บ้าน...’

เสียงเยือกเย็นของพรายรับใช้ของเจิมจันทร์ กระซิบบอกดมิสาจากที่ไกลๆ มันเล็งเห็นความกล้าหาญและความสาวสดที่จะเลี้ยงดูมันไปได้อีกนานจากหญิงสาวผู้นี้ มันตั้งใจจะหักหลังเจิมจันทร์นั่นเอง แต่ยังไม่กล้าแสดงตัวออกมา เดี๋ยวพวกผีทาสตนอื่นจะปากดีคาบข่าวไปฟ้อง

‘ยิหวาอยู่ในห้องพระ เข้าไปสิ...’

ดมิสาหันมองหน้าสุวรรณที่ลอยตัวอยู่เคียงข้าง กุมารน้อยพยักหน้ายืนยันว่าเสียงกระซิบนั้นเป็นความจริง หนึ่งหญิงสาวและหนึ่งกุมารจึงก้าวเข้าไปในห้องนอนที่ดมิสาไม่เคยคิดอยากจะเข้ามาเหยียบเลย เธอเดินผ่านภาพถ่ายของเดชสิทธิ์ที่ติดอยู่บนกำแพงห้อง ก่อนดันประตูห้องพระเปิดเข้าไปโดยไม่เคาะก่อน

ภาพแรกที่ฉายในกระจกตาของดมิสาคือห้องพระเรียบง่าย ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรมากนักนอกจากโต๊ะหมู่บูชา เบาะนั่ง และชั้นวางหนังสือที่ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือธรรมะกับตู้โชว์ว่างเปล่า ไม่มีอะไรข้างในนั้น และที่สำคัญเธอมองไม่เห็นญานีนที่นั่งสมาธิอยู่กลางห้อง เพราะหญิงสาวอยู่ในตาข่ายมนตร์ของเจิมจันทร์

ดมิสาก้าวเดินอย่างระวัง พยายามเพ่งมองเท่าไรก็หาญานีนไม่พบทั้งที่ห้องออกกว้างโล่งไม่มีซอกมุมให้แอบซ่อน สุวรรณเห็นท่าไม่ดีจึงใช้ตาข่ายมนตร์คลุมดมิสาอีกครั้งเพื่อช่วยให้เธอเห็นในสิ่งที่เขาเห็น สุวรรณกล้าที่จะทำเพราะตอนนี้ไม่มีวิญญาณรับใช้ของเจิมจันทร์อยู่ในห้อง ยามที่เจ้านายไม่อยู่ คือยามที่หมู่ดวงวิญญาณพากันเริงร่าและออกไปเที่ยวเล่นนอกเรือนรับอิสระ ส่วนผีแคระแปดตนหลังหิ้งพระตอนนี้สุวรรณเห็นพวกมันหลับอยู่ ดูท่าจะไม่ตื่นมารับรู้อะไรง่ายๆ

ไม่กี่วินาทีที่ดมิสาเห็นตาข่ายผ้าโปร่งใสกำลังโอบล้อมเธอนั้น พลันภาพที่เห็นก็แปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง! จากห้องพระเรียบง่าย อวลด้วยกลิ่นไม้จันทน์หอมกลบสรรพกลิ่นที่น่าชัง กลายเป็นห้องแห่งเครื่องรางของขลัง หัวกะโหลกขนาดใหญ่ลงอักขระขอมตั้งวางอยู่กลางโต๊ะหมู่บูชา รูปปั้นนางรำและสรรพสัตว์ราวกับมีชีวิตในตัวของมัน ภายในตู้กระจกว่างเปล่า ก็กลับกลายเป็นตู้เก็บโหลแก้วบรรจุชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมองของอะไรสักอย่างที่ดองอยู่ในนั้น เลือด ฟัน ปั้นเหน่ง และอีกมากมายซึ่งรวมไปถึงมีมีด หวาย และอาวุธลงอาคมทั้งหลายวางอยู่ข้างกันด้วย!

ดมิสายกมือขึ้นปิดปาก หากเธอจิตอ่อนน้อยกว่านี้สักนิด คงตกใจจนช็อกตายไปหลายหนแล้วตั้งแต่เมื่อวาน!

สุวรรณดึงตาข่ายมนตร์ออกทันทีที่ดมิสามองเห็น เพราะทุกการกระทำของเขาต้องใช้ บุญบารมี เขาควรใช้อย่างมีสติ แม้แต่พวกผีหยาบช้าข้างนอกนั่นก็ด้วย พวกมันไม่รู้เลยว่าพลังที่มีคือ บุญเก่า นอกจากไม่ทำเพิ่ม ยังสร้างเวรสร้างบาปใหม่ ใช้บุญก่อบาป ช่างน่าสังเวชใจ

ญานีนนั้นนั่งสมาธิอยู่ตรงกลางห้องตามที่เจิมจันทร์สั่งไว้ก่อนออกไป เมื่อดมิสามองเห็น หญิงสาวก็กระชากแขนญาติผู้น้องให้ลุกขึ้นทันที แม้จะถูกสอนมาแต่เยาว์ว่าไม่ให้รบกวนผู้ปฏิบัติสมาธิ แต่ที่ญานีนกำลังทำไม่ใช่การบำเพ็ญในทางที่ดีแล้ว หญิงสาวกำลังทำร้ายตัวเองอย่างมหันต์!

“ไปกับพี่ พี่มีเรื่องต้องคุยด้วย”

แม้อยากจะปฏิเสธเพราะกลัวเจิมจันทร์รู้เรื่องเข้าแล้วอาจทำร้ายดมิสาเอาได้ แต่ท่าทางดมิสาเองก็คงไม่ยอมง่ายๆ เช่นกัน ดวงตากร้าวคู่นั้นทำให้ญานีนนิ่งงันราวถูกสาป ก่อนจะถูกลากออกมาจากห้องพระของเจิมจันทร์อย่างง่ายดาย

ดมิสาพาญานีนเข้ามาในห้องนอนส่วนตัว บุญเลิศพอเห็นมีคนอื่นเข้ามาด้วยก็พุ่งเข้าไปหลบใต้เตียงทันที

“นั่งลง” เจ้าของห้องกดตัวญานีนลงนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน ตามด้วยจุดเทียนบนหิ้งพระในห้องที่จัดวางไว้อย่างเรียบง่าย มีพระพุทธรูปเพียงองค์เดียวกับพวงมาลัยดอกมะลิที่แห้งเหี่ยว

ดมิสาก้มลงกราบพระนึกถึงบทสวดมนต์ที่พระอาจารย์ดินเคยสอน

‘นี่เรียกว่าคาถามงกุฎพระพุทธเจ้า มีมาแต่โบราณ’ ท่านกล่าวอย่างมีเมตตา ‘หากต้องการใช้เพื่อครอบกายปกป้องตนหรือผู้อื่น ให้สวดเก้าจบ พระคาถานี้สามารถสะท้อนไสยศาสตร์มนตร์ดำที่ผู้อื่นกระทำต่อเราออกไปได้ด้วย จำไว้ให้ดีนะโยมมิ้งค์’

ดมิสาเริ่มสวดอย่างตั้งใจ

“อิติปิโส วิเสเสอิ อิเสเส พุทธะนาเมอิ อิเมนา พุทธะตังโสอิ อิโสตัง พุทธะปิติอิ”

ระหว่างที่หญิงสาวสวดบทเดิมซ้ำไปซ้ำมา ลมวูบหนึ่งก่อตัวขึ้นภายในห้อง และหากญานีนไม่ได้ตาฝาด หล่อนเห็นวิญญาณพระที่เหมือนในภาพถ่ายติดบอร์ดในวัดป่าอิสราภรณ์วูบหนึ่ง

หลวงปู่ดลฤทธิ์!

แต่แค่พริบตาเดียวท่านก็กลายเป็นแสงสีขาวจ้าค่อยๆ ทาบกับผนังห้องทุกผนัง ราวกับเคลือบแสงป้องกันภัยพาลจากภายนอกไม่ให้เข้ามาได้

ดมิสาทำสิ่งนี้ได้อย่างไรในเมื่อไม่เคยเรียนมนตร์คาถาอะไรจากเจิมจันทร์เลย!

ญานีนนิ่งอึ้ง นั่งตัวแข็งทื่อราวศิลา กระทั่งดมิสาสวดมนต์จนจบครั้งที่เก้า หญิงสาวก็เอ่ยคำสัตย์ด้วยน้ำเสียงมั่นคงจริงจังเสียจนญานีนขนลุก

“ขอไสยศาสตร์มนตร์ดำและเหล่าภูตผีผู้ประสงค์ร้ายจงไม่สามารถเข้ามาในห้องแห่งนี้ได้ ขอคุณพระศรีรัตนตรัยปกปักรักษาข้าพเจ้าและทุกสรรพชีวิตในห้องนี้ที่ไม่คิดร้าย ไม่ทำร้ายใครด้วยเทอญ”

สิ้นวาจา ดมิสารู้สึกเหมือนขนทั้งตัวลุกวาบจากศีรษะจรดปลายเท้า เธอไม่รู้หรอกว่าที่ทำไปได้ผลไหม เธอรู้แค่ว่าเมื่อมีปัญหา เมื่อเผชิญกับภยันตราย พุทธคุณคือที่พึ่งแรกของเธอเสมอ ในโลกนี้ไม่มีอะไรประเสริฐไปกว่าพระรัตนตรัยอีกแล้ว

ดมิสาก้มกราบพระ ก่อนลุกขึ้นมานั่งปลายเตียง เผชิญหน้ากับน้องสาวที่ก้มหน้าหลบตาอย่างรู้ตัวว่ากำลังเดินทางผิด แต่ก็ยังทำอยู่ดี!

“พี่รู้เรื่องหมดแล้วนะยิหวา พี่เห็นพวกผีที่ยายเลี้ยงไว้แล้วด้วย”

ญานีนเงยหน้าขึ้นมองเธอ ดวงตาคู่หวานเบิกโต

“ยิหวาจะสืบทอดทายาทของยายไปทำไม มีเหตุผลอะไรไหนพูดมาซิ”

“มันเป็นข้อตกลงระหว่างยิหวากับยายค่ะ ยิหวาเต็มใจรับข้อตกลงนี้เอง ฉะนั้นยิหวาจะบิดพลิ้วไม่ได้ค่ะ”

“แต่นี่มันทั้งชีวิตของยิหวาเลยนะ!” ดมิสาสวน

“ไม่รู้เลยหรือไงว่าอวิชชาเป็นของร้อน เป็นทางสู่นรก อยากตกนรกหรือไง”

ญานีนไม่ตอบ หล่อนก้มหน้า น้ำตาร่วงเผาะ หญิงสาวกำมือบนตักแน่นแต่ก็ยังดื้อดึงไม่ยอมเปลี่ยนใจ จากไม้แข็ง ดมิสาจึงใช้ไม้นวมไปจนถึงไม้อ่อน แต่ไม่ว่าจะขู่จะปลอบอย่างไร ญานีนก็เอาแต่ร้องไห้จนหญิงสาวถอนหายใจยาว ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี

‘เราไม่สามารถช่วยเหลือทุกสรรพสิ่งบนโลกได้ หากเขาไม่ร่วมมือกับเราด้วยการน้อมรับไป อะไรที่ทำได้ก็ทำ อะไรที่หลุดมือไปแล้วก็ปล่อยนะโยม สรรพสัตว์ล้วนเกิดแต่กรรม แล่นไปตามกรรม และทุกข์สุขด้วยกรรมของตน อย่าเอาใจไปยึดติดให้เป็นทุกข์เลย’

ถ้อยความของหลวงลุงทำให้ดมิสาปลดปลง หญิงสาวน้ำตาร่วงตามญาติผู้น้อง สงสารเหลือเกินแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ดมิสาดึงตัวญานีนมากอด ลูบผมปลอบโยน นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เธอทำได้

“ถ้ามีอะไรให้วิ่งมาหาพี่ รู้ใช่ไหมว่าพี่จะช่วยยิหวาเสมอ”

ญานีนพยักหน้ากับอก โอบกอดตอบและระบายความอัดอั้นที่เก็บงำไว้ทั้งน้ำตา และนั่นทำให้ดมิสาตัดสินใจได้ทันทีว่าเธอยังย้ายออกไปจากบ้านเสน่ห์จันทน์ตอนนี้ไม่ได้ จนกว่าญานีนจะปลอดภัยจากเงื้อมมือของเจิมจันทร์เสียก่อน

 

 

** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com