“ฉันไม่เป็นไรแล้วละแก ขอบคุณนะที่เข้าเวรแทนให้”
ดมิสากรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ ตอนนี้เธออยู่ในรถแท็กซี่ที่กำลังมุ่งหน้ากลับบ้านเสน่ห์จันทน์ เพราะเอาเข้าจริงจิณไตยก็อยู่กับเธอได้ถึงแค่ช่วงบ่าย เขาถูกตามตัวไปเข้าออฟฟิศแล้ว จึงยอมปล่อยเธอกลับบ้าน
ดมิสาเองก็พร้อมจะกลับไปที่บ้านเสน่ห์จันทน์แล้ว คำยืนยันจากดีเลิศทำให้เธอตัดสินใจที่จะทำอะไรหลายอย่าง อย่างแรกคงเป็นการประกาศปิดคลินิกล่วงหน้าสักหนึ่งเดือน แล้วจากนั้นเธอจะลองหาคอนโดฯ เล็กๆ อยู่สักห้อง...ดมิสาตัดสินใจแล้วว่าจะย้ายออก เธอทนอยู่ที่บ้านหลังนั้นต่อไปไม่ได้จริงๆ
แล้วเถลิงเกียรติก็โทร.มาหาตอนที่เธอใกล้ถึงซอยเข้าบ้านพอดี
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือก “เมื่อคืนฉันห่วงจะแย่ เฮ้อ! ดีจริงที่แกมีแฟน ไม่งั้นฉันคงห่วงแกจนอกแตกตาย”
หญิงสาวยิ้มเมื่อคิดถึงจิณไตย ชายหนุ่มผู้ที่ก้าวเข้ามาระบายโลกสีเทาของเธอให้กลายเป็นสีนวลของความรัก ความอบอุ่น และความห่วงใย...อย่างน้อยโลกนี้ก็ไม่ใจร้ายกับเธอเกินไปนัก
“แล้วนี่เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น มิ้งค์” เถลิงเกียรติถามอย่างจริงจัง “เรารู้จักกันมาตั้งเป็นสิบยี่สิบปี ตั้งแต่ยังตัวกะเปี๊ยก ฉันไม่เคยเห็นแกเป็นแบบเมื่อคืนเลยนะ”
ดมิสาเม้มปากนิ่ง ก่อนตอบ
“ฉันเล่าไม่ได้จริงๆ มันเป็นเรื่องไม่ดีในบ้าน...แกเข้าใจฉันนะ”
เถลิงเกียรติถอนหายใจพรืด
“เออๆ เข้าใจ เอาเป็นว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น นอกจากพี่โตกับคุณจิณแล้ว แกยังมีฉันนะ รู้ใช่ไหม”
“จ้ะ” ดมิสากดวางสายหลังจากรถแท็กซี่เลี้ยวเข้าซอยขุนนาง เธอบอกให้คนขับจอดรถที่หน้ารั้วบ้านซึ่งถูกเปิดทิ้งไว้ราวกับเพิ่งมีคนเข้าไป
หญิงสาวเดินผ่านอิสราภรณ์คลินิกเข้าไปตามถนนโรยกรวดผ่านป่าประดู่ กำลังจะผ่านกำแพงด้านในที่มีไม้เลื้อยพันพัวราวกับงูนับพัน แต่ไม่ทันพ้นกำแพงก็เห็นท้ายรถคันหนึ่งจอดอยู่ และเสียงโวยวายที่ดังมาจากชายคนหนึ่งข้างตัวรถ
“...ทำไมต้องอยู่ที่นี่ยิหวา บ้านเราก็มี”
ดมิสาชะงักฝีเท้า ขยับตัวหลบทันทีตามสัญชาตญาณ เธอแอบมองลอดช่องกำแพงที่เก่าจนอิฐบางก้อนหลุดออก โดยไม่รู้เลยว่าสุวรรณใช้พลังของตนอุทิศตัวเป็นปราการป้องกันไม่ให้โลกทิพย์เห็นดมิสา เพราะหากพวกผีทาสของยายเจิมจันทร์มาเจอเข้าอาจเอาไปฟ้องเจ้านายมันก็ได้ว่าหญิงสาวแอบได้ยินแอบเห็นอะไรบ้าง แม้สุวรรณจะไม่รู้ว่าชายหญิงสองคนนั้นคือใครก็ตาม
ดมิสามองลอดรอยแตกของกำแพง เธอเห็นญานีนก่อน ญานีนเป็นลูกสาวคนเล็กของจิรัญญา คุณน้าของเธอ หญิงสาวแต่งงานไปแล้วกับอัคนี ชายที่ยืนโวยวายอยู่ตรงหน้า เมื่อปีที่แล้วญานีนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์แล้วเพิ่งฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
“ที่นี่ต่างหากคือบ้านของยิหวา...” ญานีนเถียงสามีด้วยประกายตาจริงจัง “พี่เดี่ยวคะ ยิหวาขอบคุณสำหรับหนึ่งปีกว่าๆ ที่มีความสุขมาก มากจนยิหวานึกว่าตัวเองฝันไป...แล้วก็ขอโทษอย่างสุดซึ้งสำหรับทุกสิ่งที่ทำในช่วงสองสามเดือนมานี้ด้วย”
ดมิสาฟังแล้วก็ขมวดคิ้ว เธอไม่ค่อยรู้เรื่องของครอบครัวญาติผู้น้องมากนัก แต่ที่ผ่านมาก็เห็นรักกันกับสามีดีนี่นา
“พี่ไม่รับ แล้วก็ไม่ยกโทษให้จนกว่ายิหวาจะยอมกลับบ้านกับพี่”
เขาเดินอ้อมรถมาหาญานีนแล้วสวมกอดเอาไว้ เอ่ยเสียงสั่นพร่า
“พี่คิดถึงยิหวามากแค่ไหนรู้หรือเปล่า หรือยิหวาไม่เชื่อใจพี่ว่าพี่รักยิหวาคนเดียว”
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ” ญานีนผลักอกสามีออกเบาๆ “ความจริง มันมีอีกเรื่องที่ยิหวายังไม่ได้บอกพี่เดี่ยว...ที่ยิหวากลายเป็นยายหนึ่งได้ก็เพราะยายช่วย...และยายก็มีเงื่อนไขว่า...ยิหวาจะต้องยอมเป็นทายาทของยายค่ะ”
หนึ่ง...หมายถึงวิรัลยาลูกเมียน้อยของวิญญู บิดาของญานีนน่ะหรือ
เมื่อปีที่แล้วอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้นมีผู้บาดเจ็บสองคนก็คือญานีนและวิรัลยา ซึ่งทั้งคู่ก็ฟื้นตื่นมาทำงานทำการเป็นคู่แข่งกันได้ปกติแล้ว แล้วที่ญานีนกลายเป็นวิรัลยาเพราะยายช่วย? แล้วยังจะเงื่อนไขให้เป็นทายาท?ญานีนพูดอะไรเนี่ย คนอย่างเจิมจันทร์น่ะหรือจะยกสมบัติให้หลานสาว ไม่มีทางเด็ดขาด
ดมิสายิ่งฟังก็ยิ่งงง เธอจึงตัดสินใจจะเดินออกจากที่กำบังไปหาคนทั้งสอง แต่อัคนีก็โวยวายขึ้นมาก่อนจนคนแอบฟังสะดุ้งโหยง
“อะไรนะ! นี่ยิหวายอมได้ยังไง ทำไมไปตกลงอย่างนั้น ทำอะไรทำไมไม่รู้จักคิด”
“ยิหวาเป็นคนโง่ค่ะพี่เดี่ยว เรียนไม่เก่ง ไม่มีความสามารถ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง จึงจำเป็นต้องมีตัวช่วย ต่อให้ยายยื่นเงื่อนไขที่หนักกว่านี้ ยิหวาก็ยอมค่ะ”
“ยิหวา...โธ่”
“พี่เดี่ยวกลับไปเถอะนะคะ ระหว่างนี้เราอย่าพบกันอีกเลยนะคะ จนกว่าการสืบทอดทายาทจะเสร็จสิ้น หลังจากนั้นเราก็ยังพบกันได้บ้างค่ะ แต่ในฐานะคนรู้จักเท่านั้น”
“พี่ไม่ยอม ยิหวาเป็นเมียพี่ ไม่ใช่แค่คนรู้จัก พี่จะคุยกับยาย”
อัคนีผลุนผลันเดินตรงไปยังตัวบ้านเสน่ห์จันทน์อย่างมั่นคงแม้ญานีนจะพยายามห้ามปรามเท่าไรก็ตาม แต่เขาไม่สน ในขณะที่ดมิสาแอบตามไปห่างๆ เธอไม่เข้าใจเรื่องที่สองคนนั้นคุยกันเลยสักนิด แต่จากคำพูดของญานีนทั้งการที่หญิงสาวปลอมตัวเป็นวิรัลยา ซึ่ง...จะทำได้อย่างไรตามหลักวิทยาศาสตร์? ไหนจะแลกกับการสืบทอดทายาท...ทายาทอะไรกัน?
‘ระวังเจิมจันทร์’
เสียงของตานีผู้ล่วงลับดังก้องในสมอง
‘อย่าไว้ใจเจิม...จันทร์!’
ถ้าไสยะ...คำสุดท้ายของตานีก่อนจากไปคือไสยศาสตร์จริงอย่างที่ดมิสาคาดเดา หญิงสาวหยุดย่องเดินตาม หัวใจเต้นโลดข้ามจังหวะ หรือว่าหากยายเป็นแม่มดหมอผีจริง
ยายจะถ่ายทอดอวิชชาชั่วร้ายนั้นให้ญานีนอย่างนั้นหรือ!
ไม่ได้...ไม่ได้เด็ดขาด!!!
ดมิสาตั้งใจจะวิ่งไปห้ามญานีนด้วยอีกคน แต่สองคนนั้นก็พากันไปถึงหน้าบ้านแล้ว และยายเจิมจันทร์ก็ยืนตระหง่านอยู่ตรงบันได ดมิสาจึงรีบหลบหลังต้นไม้ใหญ่ทันที เธออยู่ไกลเลยได้ยินไม่ชัดนักว่าอัคนีพูดอะไรกับเจิมจันทร์บ้าง เธอเห็นแค่ว่าอัคนีพยายามเกลี้ยกล่อมยายเพื่อพาญานีนกลับ ญานีนเองก็พยายามห้ามอัคนีสุดความสามารถ ส่วนเจิมจันทร์นั้นตวาดบ้างยิ้มเยาะบ้าง อย่างผู้มีชัยชนะอยู่ในมือตลอดเวลา
แล้วในชั่วพริบตา ตัวต่อนับร้อยก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอัคนีอย่างไม่อยากเชื่อสายตา! ดมิสายกมือขึ้นปิดปาก ตะลึงงัน แม้เห็นผีเห็นวิญญาณมาทั้งชีวิต แต่เธอไม่เคยเห็นอวิชชาที่จับต้องได้ถึงเพียงนั้นปรากฏต่อหน้ามาก่อน ญานีนที่วิ่งขึ้นบันไดไปยืนข้างยายเจิมจันทร์ก่อนแล้ว พูดบางอย่างกับอัคนีอย่างเป็นห่วง
แต่อัคนีไม่ถอย ตัวต่อนับร้อยจึงพุ่งเข้าทำร้ายเขา!
ดมิสาเกือบหลุดปากเรียกชื่ออัคนี แต่สุวรรณใช้พลังปิดปากเธอไว้ไม่ให้พูดอะไรออกมาได้เลย และตรึงกายเธอไว้ไม่ให้ขยับด้วย
‘อย่าออกไปพี่มิ้งค์’
‘ปล่อยพี่นะสุวรรณ!’ เธอเอ่ยกับเขาในดวงจิต ‘เดี๋ยวพี่เดี่ยวก็ตายหรอก’
‘แล้วถ้าพี่ตายล่ะ’ กุมารน้อยเอ่ยเสียงพร่า ‘เชื่อสุวรรณนะ อย่าดุสุวรรณเลย สุวรรณรักพี่’
ดมิสาใจอ่อนยวบ แต่ยังพยายามดึงตัวเองออกจากมนตร์สะกดของสุวรรณแม้ไม่เป็นผลก็ตาม กระทั่งญานีนขอร้องเจิมจันทร์สำเร็จ ตัวต่อนับร้อยหายวับไป ยายกระทืบเท้าแล้วหันหลังเดินขึ้นเรือน ส่วนญานีนแม้ดูลังเล แต่ก็ทิ้งสามีไว้ตรงนั้นแล้ววิ่งขึ้นเรือนตามยายไป
“ยิหวา...” อัคนีตะโกนลั่น ก่อนจะหงายหลังล้มโดยมีวิญญาณรับใช้ของเจิมจันทร์กดตัวอยู่ เมื่ออยู่ในอำนาจการป้องกันของสุวรรณเช่นนี้ ดมิสาก็พลอยมองเห็นเหล่าดวงวิญญาณที่พรางตัวตนจากสายตาเธอไปด้วย นอกจากนพ...วิญญาณเด็กหนุ่มวัยรุ่นที่กดตัวอัคนีไว้แล้ว เธอจึงเห็นว่ารอบบ้านนี้มีดวงจิตสีดำมืดมากมายปกคลุมอยู่
“คุณพระช่วย” ดมิสาอุทาน หลุดออกจากตาข่ายมนตร์ของสุวรรณทันทีที่กุมารน้อยรู้ตัวว่าทำพลาดเสียแล้ว และแม้หลุดออกมาแล้ว ด้วยพลังจิตที่ดมิสามีอยู่ ก็ทำให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นในบ้านไม่สามารถพรางตาจากเธอได้อีกต่อไป
“หยุดเดี๋ยวนี้!” หญิงสาวพุ่งเข้าไปหา สะบัดมือใส่ร่างโปร่งใสของวิญญาณเด็กหนุ่ม ประกาศกร้าว “ออกไปจากตัวเขานะ”
นพตะลึงงัน ไม่คาดฝันว่าดมิสาจะเห็นตน รีบหายวับไปทันที พอดีกับที่สมคิดได้ยินเสียงโหวกเหวกโวยวายก่อนหน้านี้วิ่งกระหืดกระหอบโผล่หน้าออกมา ทั้งสองจึงเข้าไปช่วยประคองอัคนีขึ้นจากพื้น แต่อัคนียังคงดึงดันจะตามขึ้นไปเอาตัวญานีนกลับคืนทั้งที่หน้าบวมเป่ง ไม่ยอมไปหาหมอท่าเดียว จนสายพิณโผล่หน้าออกมาจากใต้ถุนเรือน
“แม่พิณ...เห็นใช่ไหมครับ”
แม่บ้านร่างท้วมพยักหน้าน้อยๆ ขณะที่สมคิดยังงุนงงหันมองต้นไม้โดยรอบ ไม่เข้าใจว่าต่อมาจากไหน
“รักษาตัวให้หายดีก่อนนะคะคุณเดี่ยว แล้วค่อยกลับมาพาตัวคุณยิหวาไป” สายพิณกระซิบ สายตาที่มองอัคนีทั้งเห็นใจและสงสาร
ชายหนุ่มสงบลงได้หน่อย ก่อนหันมามองดมิสาอย่างคนเพิ่งได้สติ เมื่อครู่อัคนีทันได้ยินอยู่ว่าดมิสาตวาดไล่ใครบางคน ซึ่งคงไม่พ้นพวกผีพวกวิญญาณ ถ้าลูกหลานของเจิมจันทร์บางคนจะมีตาทิพย์เห็นผีได้ ก็ไม่แปลกหรอก เพราะช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ชีวิตเขาก็มีแต่เรื่องแปลกๆ อยู่แล้ว!
----------
อัคนีนั้นก่อนที่จะแต่งงานกับญานีนเขาเป็นเด็กในอุปการะของวิญญู บิดาของญานีนเอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีญาติที่ไหน ดมิสาจึงโทร.บอกเรื่องเขาประสบเหตุถูกตัวต่อต่อยเข้าโรงพยาบาลกับวิญญู เพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น วิญญูก็ปราฏตัวที่โรงพยาบาล
“เดี่ยวเป็นยังไงบ้างมิ้งค์” เขาถามกระหืดกระหอบ
“นี่น้าก็มาจากอีกโรง’บาล เอิ่ม พอดีคุณวาไม่ค่อยสบาย แล้วตกลงตัวต่ออะไรนั่นมาจากไหนมากมาย” ถามแล้ววิญญูก็ชะงัก
“นี่ไปบ้านเสน่ห์จันทน์กันมาใช่ไหม แม่ทำอะไรเดี่ยว!”
ดมิสาหันมามองอย่างอึ้งๆ วิญญูเองก็เหมือนจะรู้ตัวว่าได้หลุดปากออกไปจึงพยายามสงบสติอารมณ์ เขาลืมไปว่าดมิสาไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรกับความเลวร้ายของเจิมจันทร์ มันไม่ใช่เรื่องที่เขาจะพูดกับใครๆ ได้ว่า แม่ยายของเขาร้ายกาจเพียงใด ยิ่งเรื่องไสยศาสตร์มนตร์ดำ ยิ่งไม่ใช่เรื่องที่สามารถจะพูดกับใครก็ได้ ขืนพูดไปก็รังแต่จะมีคนมองว่าบ้า และอีกอย่างก่อนหน้านี้เจิมจันทร์ก็เพิ่งช่วยเขาด้วยไสยมืดที่เขาไม่อยากยุ่ง จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ว่าเจิมจันทร์ช่วยชีวิตเขาไว้...แต่ยังไงวิญญูก็ไม่อยากให้ลูกสาวและลูกเขยต้องเข้าไปพัวพันกับคนแบบเจิมจันทร์อีกอยู่ดี!
“ช่างเถอะ ไม่มีอะไรหรอก...น้าขอโทษนะมิ้งค์”
เขาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้รอฟังผลหน้าห้องไอซียู วิญญูยกมือลูบหน้าอย่างตึงเครียด เขารอ...รอ...รอ...และรอ...โดยมีดมิสานั่งอยู่เป็นเพื่อน กระทั่งได้รู้ว่าอัคนีพ้นขีดอันตรายแล้วจึงยกมือขึ้นขยี้ตาอย่างโล่งใจ ตาของเขาแดงก่ำ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าเป็นห่วงลูกเขยคนนี้มากแค่ไหน ชายวัยกลางคนเอ่ยปากกับดมิสาว่าจะหาพยาบาลมาดูแลอัคนี เผื่อว่าเธอต้องไปเข้าเวรหรือไปธุระอะไรต่อจากนี้ หญิงสาวจึงกล่าวลาและเดินออกมาหาถนอมที่ลานจอดรถ
“ลุงถนอม” ดมิสาเรียกเสียงเครียด หน้าเครียด “พามิ้งค์กลับบ้านเสน่ห์จันทน์ทีค่ะ”
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **