ดมิสาเพิ่งรู้ตัวว่าหิว ก็เมื่อจิณไตยพาเธอมาถึงร้านอาหารริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นร้านที่ตกแต่งสบายๆ ให้ความรู้สึกเรียบหรู ตั้งอยู่บนดาดฟ้าของบ้านสมัยรัชกาลที่สี่ที่ถูกดัดแปลงมาเป็นร้านอาหาร เป็นบ้านทรงไทยรูปแบบบ้านฝรั่ง ก่ออิฐที่ชั้นล่าง ส่วนชั้นบนเป็นไม้ หลังคาทรงปั้นหยา ระเบียงของร้านอาหารนี้ต่อเติมขึ้นมาเพื่อรองรับนักชิมที่เพิ่มขึ้นทุกปีเพราะร้านอาหารแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องรสชาติอาหารชาววัง
จิณไตยชวนเธอรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว จึงพาเธอกลับบ้านโดยให้ดมิสาช่วยบอกทาง แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ยังไม่พูดอะไรที่บอกว่าจะคุยกับเธอ เอาแต่เฉไฉชวนคุยเรื่อยเปื่อย หญิงสาวรอจนคิดว่าจะเลิกรอ เธอให้เขาจอดรถที่หน้าประตูบ้านเสน่ห์จันทน์แล้วยื่นรีโมตออกไปกดเปิดประตู จากนั้นจึงให้ชายหนุ่มนำรถเข้าไปจอดที่ใต้ต้นประดู่ข้างคลินิกซึ่งปิดทำการแล้ว
“คุณมิ้งค์พาผมมาที่คลินิกทำไมครับ”
ดมิสาชี้มือเข้าไปในป่าประดู่ที่ตอนนี้มืดสนิท จิณไตยมองตามแล้วเดาไม่ออกว่าทางข้างหน้าคืออะไร อาจก็พอเดาได้ว่าปลายทางคงเป็นบ้านเสน่ห์จันทน์ตามป้ายชื่อที่โค้งประตูไม้สักหน้าบ้าน แต่ที่เขาไม่รู้คือทำไมดมิสาจึงมีรีโมตเปิดประตูด้วย การเช่าพื้นที่ทำคลินิกทำให้มีสิทธิพิเศษขนาดนี้เลยเหรอ
“บ้านมิ้งค์อยู่ในนี้ค่ะ เสน่ห์จันทน์เป็นนามสกุลแม่”
หญิงสาวเฉลยก่อนที่เขาจะเข้าใจผิดมากไปกว่านี้ จิณไตยหัวเราะแก้เก้อ
“ผมคิดว่าคุณเช่าพื้นที่ทำคลินิกเสียอีก”
เธอยิ้มบางๆ “ว่าแล้วเชียว”
เมื่อทราบดังนั้นชายหนุ่มจึงดับเครื่องยนต์และชวนเธอออกมาคุยกันที่เก้าอี้หน้าคลินิก ทันทีที่เปิดประตูรถ ลมเย็นเฉียบก็พัดมาบาดผิวทั้งที่เป็นฤดูร้อน ความรู้สึกเย็นยะเยือกจับตัวที่ต้นคอลามไปยังไขสันหลังราวกับมีมือเล็กๆ นับล้านลูบโลม
จิณไตยสะบัดศีรษะ ขับไล่ความคิดฟุ้งซ่านทิ้งไป ก่อนเดินนำเธอไปท่ามกลางป่าประดู่เงียบสงัดมืดมิด ไม่มีแม้สัตว์สักตัวหรือเสียงหรีดหริ่งเรไรให้ได้ยิน
“เอาละค่ะ” หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งที่เก้าอี้ไม้หน้าคลินิกสำหรับคนไข้มานั่งรอ เมื่อเขานั่งลงตาม เธอจึงเปิดประเด็นถามโดยไม่อ้อมค้อม “คุณจิณมีอะไรอยากคุยกับมิ้งค์คะ ถึงคุยทางไลน์ไม่ได้”
สีหน้าจริงจังของเธอทำให้ชายหนุ่มอึกอัก เขาเสมองไปทั่วอย่างทำใจครู่หนึ่ง ก็คิดขึ้นมาได้ว่าตอนนุชชารีย์มาเข้าฝัน สถานที่แห่งนั้นเหมือนที่ที่เขานั่งอยู่ตรงนี้เปี๊ยบ! เหมือนจนขนลุก...
ชายหนุ่มหันมองหน้าดมิสา อยากถามเธอเหลือเกินว่าเธอไม่รู้จักนุชชารีย์จริงหรือ แต่จิณไตยพอเดาออกว่าถามไปก็คงได้รับคำตอบเหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมคือดมิสาคงสงสัยว่าทำไมเขาถามย้ำซ้ำๆ ทั้งที่เธอก็ตอบชัดเจนไปแล้ว
เรื่องผี เรื่องวิญญาณ พูดออกไปใครจะเชื่อ ถึงดมิสาจะปฏิบัติธรรมเคร่งครัด แต่เธอก็ดูเดินทางสายกลางไม่นิยมอภินิหารอะไร ขืนพูดออกไปเธอคงมองเขาบ้าเสียเปล่าๆ
“มีอะไรหรือเปล่าคะ” หญิงสาวหันมองไปโดยรอบ “คุณมองอะไร”
“มิ้งค์...” ดมิสาหันกลับมามองเขา และพบว่าตอนนี้มือขวาของเธออยู่ในอุ้งมือหนาเรียบร้อยแล้ว “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมสนใจคุณ”
คำสารภาพตามตรงของเขาทำให้เธอแก้มแดง และหญิงสาวก็ไม่รู้จะแกล้งเฉไฉไปทำไม จึงพยักหน้ารับ เธอเม้มปากรอฟังเขาพูดต่อ ใจเต้นรัวราวกลองชัย
“ผมรู้ว่ามันเร็วเกินไป แต่ผมไม่ชอบให้อะไรมันคาราคาซัง”
ฉันก็เหมือนกัน...เธอคิดในใจ
“ถ้าพี่จะขออนุญาตจีบมิ้งค์ มิ้งค์จะว่ายังไง”
สรรพนามที่เขาเปลี่ยนปุบปับนั้นทำให้เธออ้าปากเหวอ แต่เพียงไม่นานดมิสาก็หุบปากสนิท ในหัวหมุนติ้วราวลูกข่าง เธอจะตอบอย่างไรดีละกับผู้ชายที่เพิ่งเจอกันแค่สามครั้ง แต่ก่อนอื่นเธอควรดึงมือออกมาจากมือเขาก่อนหรือเปล่า แต่...แต่...ทำไมกันนะ ทำไมเธอไม่อยากทำอย่างนั้นเลย
เธออยากให้เขาจับมือเธอไว้แบบนี้...ตลอดไป
สุวรรณเลียบเคียงมองอยู่นาน ลุ้นจนตัวโก่งว่าดมิสาจะตอบว่าอะไร ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมทำกำแพงป้องกันไว้ไม่ให้วิญญาณอื่นเห็นเหตุการณ์นี้ โดยเฉพาะพวกผีทาสรับใช้ของเจิมจันทร์! เขาไม่บอกคุณท่านอยู่แล้วเรื่องที่ดมิสาปล่อยให้ผู้ชายจับมือถือแขนหน้าบ้าน อย่างมากก็อาจจะบอกแค่ว่ามีเจ้าของบริษัทอสังหาริมทรัพย์มาจีบเธอเท่านั้น เจิมจันทร์คง...ไม่ว่าอะไรมั้ง
“มิ้งค์ว่า...เราดูๆ กันไปก่อนดีไหมคะ”
ดมิสาไม่คิดว่าคำตอบของเธอจะทำให้จิณไตยยิ้มกว้าง นี่มันยิ่งกว่าคำอนุญาตให้จีบอีก แต่มันแปลว่าเธอตอบตกลงที่จะคบหาดูใจกับเขาแล้ว
ชายหนุ่มรวบร่างบางมากอดแน่นอย่างยินดี ในขณะที่ดมิสานั่งตัวแข็งทื่อเพราะตกใจ และอยากจะตีเขานักเชียว ทำไมมือไวใจเร็วแบบนี้เนี่ย
“ขอบคุณนะมิ้งค์” เสียงกระซิบข้างหูทำให้หญิงสาวตีเขาไม่ลง มันอบอุ่น เต็มตื้น ราวกับได้รับพรจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
“ขอบคุณจริงๆ ที่ให้โอกาสพี่”
แม้จะจักจี้กับสรรพนามใหม่ แต่ดมิสาก็เลือกที่จะลองเอื้อมมือไปกอดตอบ ซุกหน้าลงกับอกเขา และเธอพบว่าอ้อมกอดนั้นอบอุ่น อ่อนโยน เต็มไปด้วยความรักและปรารถนาดีจนดมิสาตัวสั่น ให้ตายเถอะ เธอไม่เคยถูกผู้ชายกอดจริงจังแบบนี้มาก่อน ไม่ว่าจะพ่อเลิศฤทธิ์ เถลิงเกียรติที่สนิทกันมากก็ไม่เคย หรือกระทั่งพระอาจารย์ดินที่เธอรักบูชาเสียยิ่งกว่าพ่อ ท่านก็กอดเธอไม่ได้
แม้แต่แม่ดาราวลี
ยังไม่เคยกอดเธอเลยสักครั้งนับแต่จำความได้...
ชายหนุ่มละอ้อมแขนเมื่อเธอสะอื้น เขาเช็ดน้ำตา เอ่ยถามอย่างห่วงใย ดมิสาจึงยิ้มตอบ พยายามหยุดร้องไห้และอธิบายความรู้สึกของเธอให้เขาฟังโดยไม่ปิดบัง จิณไตยจึงรวบตัวเธอไปกอดอีกครั้ง และกระซิบคำหวานที่ข้างใบหูหอมละมุน
“ต่อจากนี้ไปพี่จะกอดมิ้งค์ทุกวันเลยดีไหม”
ดมิสาหัวเราะกับอกเขา เธอผลักเขาออกและตีที่อกหนาเบาๆ ก่อนจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อดวงตาคมเจือประกายบางอย่างที่ทำให้เธอใจสั่น หญิงสาวปิดเปลือกตาลงเมื่อเขาโน้มลงมาหา ก่อนประทับริมฝีปากที่เรียวปากอวบอิ่ม ซ้ำๆ ย้ำๆ จนเธอรู้สึกเหมือนตัวลอยได้ก็ไม่ปาน
หญิงสาวพบว่าตัวเองชอบที่จะอยู่ในอ้อมกอดเขาเหลือเกินเมื่อจิณไตยรวบตัวเธอไปกอดอีกครั้ง โดยไม่รู้เลยว่านอกจากสุวรรณที่ยังกางกำแพงและยิ้มไปกับความสุขของเธอแล้ว จิณไตยกำลังสับสนและไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่าเรื่องภรรยาเก่าทั้งสองอย่างไร ชายหนุ่มเลยเลือกที่จะขอต่อเวลาอีกหน่อย เขายังไม่พร้อมจะพูดเรื่องน่าเศร้าในคราวที่เขาและเธอกำลังสุขสมหวัง
และดมิสาไม่มีทางรู้เลยว่า มีอีกหนึ่งดวงจิตอยู่เป็นพยานสำคัญในเหตุการณ์นี้...นุชชารีย์...ที่ถูกพันธนาการด้วยเส้นผมของตัวเองในจี้เครื่องรางนั้นน้ำตาไหลอาบแก้ม หล่อนหมดเรี่ยวแรงจะติดต่อจิณไตยหรือใครๆ อีก แต่ดวงจิตก็ยังไม่แตกดับ ยังคงทนทุกข์ทรมานไม่ได้ไปผุดไปเกิด ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสจะได้บอกสุวรรณว่าแม่ของเขาอยู่ที่นี่...ตรงนี้
แต่การถูกกักขังดวงจิตนับแต่สิ้นชีวิตลงมากว่าสามเดือนก็ยังไม่ทรมานเท่า สามีที่หล่อนหลงรักเขามาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยบอกรักผู้หญิงคนอื่นต่อหน้า โดยไม่รู้เลยว่าหล่อนอยู่ตรงนี้...
ตรงนี้...
ตรงนี้...
นุชชารีย์ปิดเปลือกตาลง หล่อนอยากหลับไปตลอดกาลเหลือเกิน...
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **