วันสุดท้ายของการปฏิบัติธรรม ดมิสาชวนอรจีราไปช่วยแม่ชีดาราวลีและอุบาสกอุบาสิกาเย็บตับจากเพื่อนำไปก่อสร้างซ่อมแซมกุฏิและกระท่อมสำหรับนักปฏิบัติธรรม หญิงสาวเคยมาช่วยเย็บก่อนหน้านี้จึงพอมีฝีมืออยู่บ้าง ต่างจากอรจีราที่เงอะงะเย็บถูกเย็บผิด
ใบจากที่นำมาเย็บเป็นสีเขียวสด เลือกที่ใบแก่กำลังดี ไม่แก่ไปอ่อนไป ใบจากมีลักษณะคล้ายใบมะพร้าว แต่เหนียวและกว้างกว่าจึงสามารถนำมาเย็บเป็นตับได้ เรียกว่า ‘ตับจาก’ ซึ่งจะถูกนำไปมุงหลังคากันแดดกันฝน และเมื่อใช้ไปนานแล้วใบจะกรอบ จากสีเขียวเข้มก็จะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล กระทั่งเกือบเป็นสีดำก็ยังกันแดดกันฝนได้เป็นอย่างดี แต่เพราะกฎธรรมชาติที่ทุกสิ่งล้วนไม่จีรัง ตับจากก็เช่นกัน วันหนึ่งก็ต้องแห้งกรอบ ผุพัง เป็นเหตุให้แม่ชีและผู้ปฏิบัติธรรมต้องเย็บตับจากใหม่ๆ อยู่เป็นระยะ
โดยเฉพาะปีนี้อากาศร้อนจัด ตับจากเก่าๆ พากันแตกดังเปรี๊ยะโก่งตัวเบียดกันระหว่างใบในตับจนกันแดดกันฝนได้ไม่ดี จึงต้องซ่อมกุฏิกันหลายหลังกว่าทุกปี โชคยังดีที่มีผู้ปฏิบัติธรรมจากอนันดาเฮาส์จำนวนมาก การเย็บใบจากแม้จะไม่ชำนาญนักแต่ก็พอสอนกันได้ และเย็บได้เร็วกว่าที่คิดไว้
“นี่คือที่มาของคำว่า ‘ร้อนจนตับแตก’ ใช่ไหมคะมิ้งค์”
อรจีราเย็บใบจากไปด้วย สลับกับใช้พัดส่วนตัวพัดหน้าระบายความร้อนไปด้วย แต่ยิ่งพัด เหงื่อไคลก็ยิ่งไหลซ่กเต็มหน้าเต็มคอ
“ขนาดตับจากยังแตก ตับพี่จะเหลือกลับบ้านไหมเนี่ย”
ดมิสาหันไปยิ้ม นึกสงสารคนขี้ร้อนอยู่เหมือนกันแต่ก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร หญิงสาวจึงก้มหน้าก้มตาเย็บตับจากต่อไป กระทั่งได้ยินเสียงอรจีราทักใครคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาช่วยเย็บตับจาก
“อ้าว บอส นั่งเย็บตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
ความคิดแรกนั้นดมิสาคิดว่า ‘บอส’ ของอรจีราเป็นผู้หญิง เลขาสาวจึงจัดแจงให้มานั่งเย็บตับจากใกล้กัน แต่ทว่าพอเงยหน้าขึ้นมอง เธอกลับสบประสานกับนัยน์ตาคมกล้าของชายหนุ่ม เขาหน้าตาหล่อเหลาและมีแรงดึงดูดทางเพศสูงอย่างร้ายกาจ แต่ด้วยชุดอุบาสกสีขาวก็ทำให้จิณไตยดูสง่าน่านับถือ และมีความน่าไว้เนื้อเชื่อใจอย่างประหลาดแผ่ออกมาจากร่างเขา
“ให้อุบาสกนั่งตรงนี้จะดีหรือคะพี่จี” ดมิสากระซิบ “ตรงนี้มีแต่อุบาสิกานะ”
อรจีราหันมองไปรอบๆ ความที่วัดนี้มีอาณาบริเวณกว้างขวางและลานวัดก็กว้างมาก อุบาสกและอุบาสิกาจึงนั่งรวมกลุ่มกันหลายกลุ่ม กลุ่มอื่นนั้นเต็มหมดแล้วยังกับฟ้าดินเป็นใจ มีแต่กลุ่มของเธอนี่แหละที่มีแม่ชีดาราวลีผู้นิ่งขรึม ร้อยวันพันปีจะปริปากพูดอะไรสักหนราวกับกลัวดอกพิกุลหล่น มีดมิสาผู้เป็นบุตรสาว กับเธอผู้เป็นกาฝากไม่ได้เกี่ยวอะไรกับครอบครัวเขานั่งหัวโด่อยู่อีกคน
“ไม่เป็นไรมั้งคะ กลุ่มอื่นเขาเต็มแล้ว นี่เหลือที่ว่างตั้งเยอะ ให้บอสนั่งห่างๆ ก็ได้ค่ะ”
ดมิสาหันมองโดยรอบแล้วจึงพยักหน้าเออออ เธอละมือจากใบจาก ประนมไหว้จิณไตยตามมารยาทเพราะเด็กกว่า แต่ชายหนุ่มกลับหัวเราะรับ
“อย่าไหว้ผมเลย แม่พราหมณ์อาจศีลครบมากกว่าผมก็ได้ เดี๋ยวผมจะบาปเอาเสียเปล่าๆ”
ดมิสาหัวเราะ ขณะที่จิณไตยหันไปไหว้ดาราวลีและแม่ชีพยักหน้ารับด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนก้มหน้าก้มตาเย็บใบจากต่อ อรจีราจึงถือโอกาสทำงานสำคัญที่บอสฝากฝัง ด้วยการแนะนำให้จิณไตยกับดมิสารู้จักกันอย่างเป็นทางการ
“น้องมิ้งค์จำคุณจิณได้ไหมคะ คุณจิณไตยเจ้านายพี่ ที่เคยเจอกันในโรง’บาลไง” เมื่อดมิสาทำหน้างง อรจีราจึงขยายความให้ “เมื่อปีที่แล้วน่ะค่ะ ช่วงปลายปีได้มั้งที่โรง’บาลจตุรพิธพร ตอนนั้นคุณจิณพาภรรยาไปฝากครรภ์ พี่ไปด้วยเพราะเดี๋ยวต้องไปไซด์งานกันต่อ พี่เห็นน้องมิ้งค์ที่โรง’บาลก็แนะนำให้มิ้งค์รู้จักคุณจิณกับภรรยาไปแล้วนะ จำไม่ได้เหรอ”
ดมิสาหยุดคิดนิดหนึ่งก็ร้องอ๋อออกมา จำได้ว่าก่อนหน้าวันนั้น ญานีน...ญาติสนิทของเธอที่โตมาด้วยกันในบ้านเสน่ห์จันทน์ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ อาการเป็นตายเท่ากัน ดมิสาทราบข่าวก็รีบเดินทางไปโรงพยาบาลในทันทีและอยู่รอฟังอาการกับอัคนี...สามีของญานีนจนถึงเช้า
แต่เพราะวันต่อมาดมิสาต้องไปเข้าเวรอีกโรงพยาบาลหนึ่ง จึงต้องกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า และเธอก็พบจิณไตยกับภรรยาที่หน้าโรงพยาบาลพอดี อรจีรานั้นเดินตามสองสามีภรรยามา เห็นเธอเข้าก็ทักทาย แต่ตอนนั้นดมิสาทั้งง่วง ทั้งเพลีย และเดี๋ยวก็ต้องไปทำงานต่ออีกจึงหยุดพูดคุยด้วยเพียงชั่วครู่ตามมารยาท แล้วขอตัวไปอีกทาง
กุมารแพทย์สาวลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เสียสนิท ญานีนเองก็หายดีจนกลับไปทำงานได้ตั้งแต่เดือนก่อนแล้วด้วย ดมิสาก็หมดห่วง หากไม่ใช่ว่าอรจีรารื้อฟื้นขึ้นมาอีก เธอคงจำชื่อจำหน้าจิณไตยกับภรรยาไม่ได้เสียด้วยซ้ำ หญิงสาวเลยคลี่ยิ้มจางๆ ให้ชายหนุ่ม
“ขอโทษทีนะคะพอดีวันนั้นยุ่งๆ เลยลืมไปเลย ยังไงก็ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งค่ะคุณจิณ แล้วนี่ภรรยาน่าจะคลอดแล้วเนอะ ลูกชายหรือลูกสาวคะ”
คำถามนั้นทำเอาอรจีราซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ หน้าเจื่อน แอบใช้ศอกสะกิดดมิสายิกๆ แต่ก็ไม่รู้จะบอกอย่างไรว่า ภรรยาและลูกของเจ้านายไม่อยู่แล้ว ในขณะที่ดมิสางุนงง ชายหนุ่มก็เฉลยด้วยรอยยิ้มหมองเศร้า
“เกิดอุบัติเหตุครับ นุชกับลูกจากผมไปแล้ว”
กุมารแพทย์สาวเบิกตาโตอย่างตกใจ เข้าใจทันทีว่าอรจีราพยายามส่งซิกอะไร หญิงสาวเม้มริมฝีปาก สงสารชายตรงหน้าจับหัวจิตหัวใจและคิดเองเออเองว่า เขาคงพาพนักงานมาถือศีลเพื่อส่งต่อบุญกุศลนี้ยังภรรยาและลูกที่จากไป
“เสียใจด้วยนะคะ”
เมื่อสถานการณ์ชักกร่อยและดูเหมือนแม่ชีดาราวลีจะยังคงอมดอกพิกุลไว้ไม่สนใจจะพูดคุยรับรู้เรื่องทางโลกกับใคร อรจีราจึงดันกองใบจากที่ริดออกจากก้านแล้วไปทางจิณไตยที่นั่งอยู่อีกฝั่ง
“นี่ค่ะใบจาก บอสเย็บไม่เป็นใช่ไหมคะ เดี๋ยวให้มิ้งค์สอนนะคะ จีเองก็ยังเย็บไม่ค่อยได้เลยค่ะ เนี่ย เสียไปตั้งหลายตับ” หญิงสาวชี้ไปยังกองตับจากเละเทะที่เธอทำพัง
“ฝากด้วยนะมิ้งค์ ไปนั่งตรงนู้นไปจะได้สอนคุณจิณเย็บง่ายๆ”
“ช่วยหน่อยนะครับคุณมิ้งค์”
เมื่อถูกขอร้องถึงสองเสียง ดมิสาเลยลุกขึ้นแล้วเดินไปนั่งตรงกลางระหว่างอรจีราและจิณไตย โดยระวังที่จะเว้นระยะห่างจากชายหนุ่มถึงสองไม้บรรทัด เธอหยิบใบจากขึ้นมาให้เขาทำตาม โดยนำใบสองใบมาวางซ้อนกัน แล้วพับส่วนบนของตับลงมาทางส่วนปลาย
“พับลงมาแค่หนึ่งในสี่ของความยาวก็พอค่ะคุณจิณ ยาวกว่านั้นอีกนิดค่ะ โอเค ไม้เรียวๆ ยาวๆ นี่เรียกว่า ตอก นะคะ เราจะใช้ตอกเย็บใบจากแบบนี้เรียงกันให้เป็นตับ”
อุบาสิกาสาวอธิบายไปด้วย ลงมือเย็บไปด้วย โดยมีอุบาสกหนุ่มทำตามเงอะงะและเย็บผิดเย็บถูกเสียใบจากไปมากกว่าอรจีราเสียอีก
จิณไตยเพลิดเพลินกับกิจกรรมใหม่ เขาพูดคุยกับดมิสาอย่างเป็นธรรมชาติกว่าที่คิดไว้ เสียจนในวินาทีหนึ่ง จิณไตยไม่ได้รู้สึกเลยว่าเพิ่งรู้จักกับเธอวันนี้ ราวกับว่าเขาเคยพบ เคยพูดคุย เคยสนิมสนมกับเธอมาก่อนหน้านี้นานแสนนาน...น่าแปลกที่เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับผู้หญิงคนไหนเลย แม้แต่กับภรรยาเก่าที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งสองคน
อรจีราเองเมื่อหมดหน้าที่ของตัวแล้วก็ทั้งเย็บตับจากและพัดหน้าระบายความร้อนไปพลาง บ่นปอดแปดเกี่ยวกับอากาศของเมืองไทยไปพลาง และภาวนาให้แม่ชีดาราวลีพูดอะไรออกมาสักคำ เผื่อจะเอาไปตีเป็นหวยได้สักตัวสองตัวบ้าง
บรรยากาศภายในวัดยังคงเงียบสงบร่มเย็นดังที่ควรจะเป็น ทุกชีวิตต่างทำหน้าที่ของตัวเองอย่างตั้งใจ โดยที่ไม่มีใคร ณ ที่นี้เห็นเลยว่า สุวรรณนั่งมองดมิสาสอนจิณไตยเย็บใบจากอยู่ตรงกลางระหว่างสองหนุ่มสาว กุมารน้อยใช้บุญบารมีของตนเสกใบจากทิพย์ขึ้นมา แล้วหัดเย็บบ้างอย่างตั้งอกตั้งใจ เพลิดเพลินไปกับกิจกรรมของมนุษย์ โดยไม่ลืมนำคำของพระดินมาครุ่นคิด
ดมิสาเท่านั้นที่จะช่วยให้เขาได้เกิดเป็นมนุษย์...
ดมิสาจะหาแม่ของเขาจนเจอ
กุมารน้อยเงยขึ้นมองหน้าดมิสา เขาเห็นความอ่อนโยนในดวงหน้าของเธอราวกับสตรีผู้นี้เกิดมาเพื่อเป็น ‘แม่’ โดยเฉพาะ กว่าสองเดือนที่ติดตามดมิสาตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง สุวรรณได้รู้เห็นนิสัยใจคอและความใจดี เด็ดขาด ซื่อตรงของดมิสาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เขารักเธอ...สุวรรณรู้สึกแบบนั้น มากพอๆ กับที่รู้สึกหวาดกลัวเจิมจันทร์
ถ้าหาแม่เจอในวันใดข้างหน้า
แม่ของเขาจะอบอุ่นดังกระแสบุญที่โอบล้อมดมิสาไหมหนอ...
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **