พระอาจารย์ดินยืนนิ่งอยู่ที่หน้ากุฏิเจ้าอาวาสซึ่งก่อสร้างอย่างเรียบง่ายด้วยใบจากและใบระกำ ไม่ต่างจากกุฏิพระสงฆ์ลูกวัดหรือกุฏิแม่ชีที่เรียงรายอยู่ห่างจากเขตสังฆาวาส ใบหน้าเปี่ยมเมตตามองไปทางทิศที่ตั้งโรงทาน ภายนอกราวกับท่านยืนพินิจพิจารณาสัจธรรมจากต้นไม้ใบหญ้าหลังฉันอาหารเช้า หากแต่แท้จริงแล้วดวงตาละเอียดของท่านเพ่งมองไปยังกลุ่มอุบาสิกาที่กำลังช่วยกันล้างจาน
และมีดมิสารวมอยู่ในนั้นด้วย
ร่างโปร่งใสของเด็กชายที่สวมโจงกระเบนและรัดเกล้าสีทองนั้นกำลังวิ่งเล่นอยู่ไม่ห่างดมิสานัก สุวรรณเป็นวิญญาณเด็กที่ซุกซน ติดเล่น ดูไม่เป็นพิษเป็นภัย แต่ก็ไม่ยอมออกมาให้ดมิสาหรือบุญเลิศเห็นเพราะต้องทำตามคำสั่งของยายเจิมจันทร์ผู้เป็นนาย
พระดินครุ่นคิดอยู่นานจึงลองตรวจดูกรรมสัมพันธ์ของสุวรรณและดมิสา เมื่อแลเห็นอดีตและอนาคตที่อาจเกิดขึ้นในกาลเบื้องหน้า ท่านจึงตัดสินใจส่งกระรอกเสกให้วิ่งไปหยุดตรงหน้าสุวรรณ กระรอกนั้นมีสีเงินสว่างไสวด้วยอำนาจบุญอันบริสุทธิ์ของผู้ทรงศีล หลอกล่อไม่นาน วิญญาณเด็ก ชายก็ลืมหน้าที่ที่ต้องติดตามใกล้ชิดดมิสาเพื่อรายงานกับยายเจิมว่าวันๆ หญิงสาวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนบ้างอย่างละเอียด โดยเฉพาะหากดมิสาโกรธใคร เขาก็ต้องรีบกลับไปรายงาน ซึ่งสุวรรณก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจิมจันทร์จะอยากรู้ไปทำไม
พรายกุมารวิ่งตามกระรอกผ่านลานเดินจงกรม เขายิ้มกว้างอย่างสนุก เสียงหัวเราะดังแว่วในสายลมฤดูร้อน ร่างนั้นหายวูบขึ้นไปปรากฏบนต้นไม้บ้าง หายจากต้นไม้มาวิ่งบนพื้นโรยกรวดบ้าง วิ่งตามเข้าไปในเขตสังฆาวาส กระทั่งกระรอกเสกนั้นวิ่งขึ้นบนบ่าของผู้สร้างมันขึ้นมา
สุวรรณเบรกเอี๊ยด...ค่อยๆ ไล่สายตาจากเท้าทั้งสอง ขึ้นสู่ปลายจีวรสีกรักและเลื่อนสายตาขึ้นไปจนประสานกับดวงตาสีน้ำตาลของพระอาจารย์ดิน ขันติสุโภ ท่านยิ้มนิดหนึ่งก่อนทรุดลงนั่งที่แคร่ไม้ไผ่ใกล้กุฏิ มือหนาของผู้ทรงศีลยกขึ้นตรงหน้าเพื่อให้กระรอกน้อยกระโดดลงสู่มือท่าน จากนั้นเจ้ากระรอกจึงค่อยๆ จางหายไปกลายเป็นอากาศธาตุในบัดดล
“อยากได้กระรอกหรือ สุวรรณ”
ท่านถามอย่างเมตตา ยังผลให้กุมารน้อยค่อยคลายความกลัวกังวลที่มีคนเห็นตนทั้งที่พรางกายแล้ว สุวรรณพยักหน้า นัยน์ตามีร่องรอยความเสียดาย
“ชอบสัตว์หรือ อาตมาเห็นโยมเล่นกับหมาแมวในวัดทั่วไปหมด นี่หากเป็นเด็กมนุษย์คงถูกพวกมันกัดเข้าแล้วรู้ไหม”
สุวรรณยิ้มแหย ก็แหม! อยู่คนเดียวเขาเหงานี่นา จะคุยกับดมิสาก็ไม่ได้ จะออกมาให้ใครเห็นก็ไม่ได้เพราะเจิมจันทร์สั่งไว้ นี่เป็นครั้งแรกเลยเชียวที่เขาได้คุยกับใครอื่นนอกจากเจิมจันทร์ และเวลาคุยกับเจิมจันทร์ก็มีแต่การรายงานเรื่องดมิสา พอหญิงสาวมาบวชชีพราหมณ์ที่นี่ มีทั้งหมาแมวกระรอกอยู่กันเยอะแยะ เขาเลยชอบไปคลุกคลี บ้างก็ขี่หลังหมา บ้างก็นอนกอดแมว บ้างก็วิ่งตามกระรอก ช่วงนี้ดมิสาไม่กลับบ้านเขาก็ไม่ต้องรายงานนู่นนี่ทุกวันเหมือนก่อน
จนสุวรรณละอยากให้ดมิสาบวชทั้งชีวิตไปเลย โกนหัวแบบดาราวลีเลย เขาจะได้ไม่ต้องกลับไปที่บ้านเสน่ห์จันทน์อีก อย่างน้อยที่นี่ก็ไม่มี คุณท่าน แสนน่ากลัวแบบเจิมจันทร์
‘พระคับ’ สุวรรณกล่าว ‘พระบอกให้พี่มิ้งค์บวชตลอดไปได้ไหมคับ สุวรรณอยากอยู่ที่นี่’
พระดินยิ้มรับ กล่าวสอน
“จะเรียกพระที่อายุมากแบบอาตมา ต้องเรียกหลวงพ่อ แต่ถ้าพระหนุ่มๆ อย่างรูปนั้น...” ท่านชี้ไปยังพระสงฆ์ที่กำลังตากจีวร เป็นพระที่บวชเพื่อตอบแทนพระคุณบิดามารดา ปีนี้อายุสิบแปดปีพอดี “...ให้เรียกหลวงพี่ เพราะท่านยังอายุน้อย”
สุวรรณเอียงคอมอง ก่อนชี้ไปยังเณรวัยไล่เลี่ยกับตนเองที่กำลังช่วยหลวงพี่ตากจีวรอย่างขะมักเขม้น
‘แล้วนั่นหลวงเพื่อนเหรอคับ’
น้อยนักที่พระอาจารย์จะหัวเราะออกมาได้แบบตอนนี้ ท่านยื่นมือไปแตะศีรษะของสุวรรณ แปลก! กายหยาบของท่านแตะสัมผัสเขาได้อย่างน่าประหลาด สุวรรณรู้สึกอบอุ่นจนน้ำตาซึม อยากจะโผเข้าไปกอดท่านแต่ก็ไม่กล้า บารมีของท่านที่แผ่ออกมาทำให้วิญญาณน้อยได้แต่นั่งนิ่งราวรูปปั้น
“นั่นเรียกเณร สุวรรณอยากบวชเณรไหม”
กุมารน้อยตาเป็นประกาย
‘ได้เหรอคับ แล้วสุวรรณจะอยู่ที่นี่ได้เหมือนป้าดาราวลีเหรอคับ’
พระอาจารย์ยิ้ม ก่อนชักมือกลับมาจัดผ้าสังฆาฏิตรงบ่าให้มั่น
“สุวรรณต้องเกิดเป็นมนุษย์ก่อน นั่นเป็นกฎของสงฆ์ อยากเกิดเป็นมนุษย์ไหม”
สุวรรณพยักหน้ารับหลายครั้งอย่างไม่เสียเวลาหยุดคิด
“ถ้าอย่างนั้นสุวรรณก็ต้องปรากฏตัวให้โยมมิ้งค์เห็นก่อน โยมมิ้งค์เท่านั้นจะช่วยสุวรรณได้”
สุวรรณอ้าปากเหลอหลา ต่อมาก็น้ำตารื้น
‘ไม่ได้คับ สุวรรณกลัวโดนคุณท่านทำโทษ...’ กุมารน้อยเคยเห็นวิญญาณดวงอื่นถูกเจิมจันทร์ทรมานเพราะทำงานพลาด ล่าสุดก็ผูกขาดดวงจิตนั้นไว้ด้วยด้ายอาคม แล้วกระหน่ำตีด้วยหวายลงอาคมไม่ยั้งจนวิญญาณนั้นแตกดับ แน่นอนว่าวิญญาณชั่วร้ายเกิดใหม่ทันทีตามกฎของสังสารวัฏ แต่ไม่ใช่บนเรือนของเจิมจันทร์ มันลงไปเกิดรับกรรมในนรก!
สุวรรณเห็นแล้วกลัวมาก ไม่กล้าขัดคำสั่งเจิมจันทร์ไปกันใหญ่
“สุวรรณไม่อยากเล่นกับบุญเลิศหรือ กลับไปบ้านนั้นสุวรรณจะได้มีโยมมิ้งค์เป็นเพื่อน มีบุญเลิศที่พร้อมจะเล่นกับสุวรรณด้วยนะ”
‘แต่...’ กุมารน้อยอึกอัก
“สุวรรณก็แค่ต้องบอกโยมมิ้งค์ว่าเป็นวิญญาณที่สถิตอยู่ในเครื่องราง และย้ำกับโยมมิ้งค์ว่าอย่าบอกวิญญาณอื่นเรื่องที่มองเห็นสุวรรณ อย่าคุยกับสุวรรณถ้ามีคนอื่นอยู่ด้วย ซึ่งโยมมิ้งค์อาจไม่ใช่ปัญหา ที่ต้องกำชับกำชาให้ดี บุญเลิศเสียมากกว่า ถ้าเล่นกับบุญเลิศเสียงดังเกินไป คุณท่านอาจจับได้ แต่บุญเลิศเป็นหมาว่าง่าย อาตมาเชื่อว่าสุวรรณสั่งมันได้”
สุวรรณเงียบฟัง ในหัวใจลุกโชนด้วยความหวัง
“บอกโยมมิ้งค์ให้ช่วยตามหาแม่ แล้วสุวรรณจะมีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ในอนาคตอีกไม่นานนี้ เมื่อถึงเวลา อาตมาจะบวชให้สุวรรณเอง”
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **