จิณไตยก้าวเดินไปในความมืด...
ชั่วขณะหนึ่งที่มีสติ ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่ากำลังฝัน และฝันเหมือนเดิมแบบที่เคยฝันมาสามครั้งแล้วหลังจากนุชชารีย์และลูกจากไป ทุกคืนวันพระจิณไตยจะพบตัวเองอยู่ในป่าประดู่ที่เงียบเหงาวังเวงและมีเสียงครวญสะอื้นดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เขาเดินไปจนเจอกำแพงบ้านสีเข้ม เขายืนอยู่หลังกำแพงริมถนนเส้นเล็กที่ทอดยาวเข้าไปอีกไกลจนมองไม่เห็นว่าเป็นบริเวณบ้านของใคร
แต่จิณไตยจะพบนุชชารีย์ที่นั่น...
หญิงสาวถูกเส้นผมมากมายที่ยาวงอกจากศีรษะตนผูกมัดข้อมือข้อเท้าและเส้นผมเหล่านั้นก็พันปิดปากหล่อนไว้ นุชชารีย์พูดไม่ได้ แต่มือที่ถูกพันธนาการค่อยๆ ยกขึ้นชี้ไปยังจุดที่ตั้งของอาคารทรงสี่เหลี่ยมเรียบง่าย มีป้ายบนประตูทางเข้าว่า ‘อิสราภรณ์คลินิก’
‘ช่วยด้วย...’ เสียงครวญนั้นดังอู้อี้เพราะนุชชารีย์ถูกเส้นผมของตัวเองปิดปาก ‘ช่วยนุชกับลูกด้วย’
จิณไตยพยายามอ้าปากถาม เขาสงสัยหลายสิ่งหลายอย่าง เขาไม่รู้จักที่นี่ ไม่รู้จักป่าประดู่แห่งนี้ ไม่รู้จักอิสราภรณ์คลินิก และไม่เข้าใจว่าทำไมนุชชารีย์จึงตกอยู่ในความทุกข์ยากลำบากทรมาน ทั้งที่เขาก็ทำบุญไปให้สม่ำเสมอไม่เคยขาด
ตอนมีชีวิตอยู่ นุชชารีย์เป็นคนดี ไม่มีศัตรู ไยเมื่อตายไปแล้วจึงถูกทำร้ายสาหัสถึงปานนี้ จิณไตยไม่เข้าใจจริงๆ
แต่ทั้งที่แสนสงสัย เขากลับไม่สามารถเอื้อนเอ่ยคำใดได้
ชายหนุ่มพยายามจะเดินเข้าไปหาภรรยา แต่ร่างกายกลับไม่อาจขยับได้ราวถูกตะปูยักษ์ตอกตรึง รากใหญ่โตของต้นประดู่ยกขึ้นจากพื้นดินรัดพันร่างกายเขาราวกับงูยักษ์จนจิณไตยหายใจลำบาก แต่เขาก็ยังไม่ตื่นจากฝัน
‘มึงช่วยมันไม่ได้หรอก’ เสียงหนึ่งดังขึ้นในโสตประสาท พร้อมเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่ทำให้ชายหนุ่มขนคอลุกวาบ
‘หึหึ อีนี่มันต้องถูกขังเหมือนพวกกู’
เสียงนั้นกระซิบชิดหูจนจิณไตยได้กลิ่นลมเหม็นๆ พัดมา เหม็นราวซากศพ!
‘ถ้ามึงเสือกมายุ่งเรื่องนี้...’ มันย้ำ และจิณไตยจำได้ว่าความฝันสามครั้งก่อน เขาไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้ ไม่ได้เห็นวิญญาณน่ากลัวดวงอื่น เขาแค่ฝันเห็นนุชชารีย์ถูกมัดเท่านั้น ‘มึงจะได้ตายตามมัน!!!’
เสียงหัวเราะน่ารังเกียจหลายสิบเสียงดังกระหึ่มขึ้นพร้อมกันจากหลากทิศ จิณไตยพยายามดิ้นรนให้หลุดจากพันธนาการเพื่อช่วยภรรยาตรงหน้า แต่จู่ๆ เส้นผมของนุชชารีย์ก็งอกยาวขึ้นมาอีก แล้วเลื้อยรัดรอบกายหญิงสาวทุกส่วนสัดไม่เว้นแม้ใบหน้า นุชชารีย์ตาเหลือกลาน พยายามร้องอู้อี้ขอความช่วยเหลือสุดชีวิต แต่จิณไตยก็สะบัดรากไม้ให้หลุดจากตัวไม่ได้
“พี่จิณ”
เสียงนั้นดังแว่ว ขณะที่จิณไตยพยายามสะบัดตัวให้หลุด
“ตื่น! พี่จิณ!”
เสียงนั้นยังพยายามเรียก ก่อนที่ราวกับมีมือยักษ์มากระชากเขาให้หลุดจากความฝันสู่ความเป็นจริงที่ชายหนุ่มนอนเหงื่อชุ่มอยู่บนเตียงทั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศไว้เย็นเฉียบ
จิณไตยผุดลุกนั่งพรวดพราด หอบหายใจราวเพิ่งได้หยุดวิ่ง ไฟฟ้าในห้องนอนเปิดสว่าง ข้างกายเขามีตารกา น้องสาวนั่งมองอยู่อย่างห่วงใย
“ฝันร้ายเหรอคะ ตาได้ยินพี่ตะโกนเรียกพี่นุชดังมากเลย”
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบหน้า ตั้งสติ ก่อนพยักหน้ายอมรับกับน้องสาวและไม่ขัดขืนเมื่อร่างเล็กแต่อบอุ่นของญาติเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ขยับมากอด ดันศีรษะเขาให้ซบลงกับบ่าบอบบาง มือน้อยลูบหลังปลอบราวมารดาปลอบโยนบุตรชายที่เพิ่งตื่นจากฝันร้ายจนจิณไตยเกือบจะขำอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าใจเขาพะวงอยู่กับความฝันซ้ำๆ ในทุกคืนวันพระ
นี่ก็วันพระที่สี่แล้ว เขายังฝันถึงนุชชารีย์อยู่เลย
ป่าประดู่ นุชชารีย์ และอิสราภรณ์คลินิก มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แน่...
“พี่โอเคแล้วตา” ชายหนุ่มยกศีรษะขึ้นจากบ่าน้องสาว เขายิ้ม ขยี้ผมตารกาอย่างเอ็นดู
“ไปนอนไป เดี๋ยวพี่ล้างหน้าล้างตาหน่อยจะนอนต่อเหมือนกัน”
“ค่ะพี่จิณ”
ตารกาตอบรับอย่างว่าง่าย ก่อนเลี่ยงออกจากห้องไป ปล่อยให้จิณไตยล้างหน้าล้างตาอย่างที่บอกน้องสาวไว้...แต่ทว่าเขาไม่ได้นอนต่อ
ชายหนุ่มหยิบแท็บเล็ตมาเปิดเพื่อค้นหาคำว่า อิสราภรณ์คลินิกและป่าประดู่ ในเว็บไซต์กูเกิล และผลลัพธ์ที่ได้ก็ทำให้ดวงตาสีดำเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ
’PANTRIP.COM : แนะนำคลินิกหมอเด็กรักษาฟรี...
ชื่ออิสราภรณ์คลินิกค่ะ อยู่ซอยขุนนาง สังเกตว่าสุดซอยมีรั้วยาวๆ ประตูโค้งใหญ่ๆ เป็นทางเข้าชื่อบ้านเสน่ห์จันทน์ ข้างในรั้วบ้านมีป่าประดู่ค่ะ สวยมากตอนออกดอก แถมคุณหมอยังไม่คิดค่ารักษา คิดแค่ค่ายากับค่าวัคซีน...’
จิณไตยนิ่งอึ้งอยู่พักใหญ่ ไม่คิดว่าอาคารเล็กๆ ในความฝันของตนจะมีจริง ทั้งที่เขาไม่เคยรู้จักหรือเดินทางไปที่นั่นมาก่อน ชายหนุ่มกดเข้าไปอ่านเนื้อหาทั้งหมดในกระทู้ เมื่อได้ชื่อกุมารแพทย์หญิงผู้ก่อตั้งอิสราภรณ์คลินิกแล้วจึงสืบสาวต่อไปอีกจากเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ใครก็สามารถเป็นนักสืบสมัครเล่นได้
“ดมิสา อิสราภรณ์”
ชายหนุ่มทวนชื่ออย่างครุ่นคิด ขณะมองภาพหญิงสาวในชุดกาวน์กำลังกอดแฟ้มไว้และยิ้มให้กล้อง เรือนผมสีน้ำตาลหยักศกยาวถึงกลางหลังถูกมัดไว้อย่างเรียบร้อย ดวงตาของเธอหวานละมุน เจือความเมตตาอาทรสมกับเป็นแพทย์ หากแต่รอยยิ้มที่ระบายบนใบหน้านั้นมีร่องรอยของความไม่ยอมคน ความเป็นผู้นำ และดูเหมือนจะไม่ยอมให้ใครมาเอาเปรียบได้ง่ายๆ
เขาไม่รู้จักเธอ
และเชื่อว่านุชชารีย์ก็น่าจะไม่รู้จักด้วย
ชายหนุ่มเอนกายพิงพนักเก้าอี้ รู้สึกสับสนมึนงงเหลือจะกล่าว เขาเติบโตมาในครอบครัวที่บิดามารดาเป็นพุทธศาสนิกชน ตัวเขาเองก็เคยบวชเรียนอยู่หลายเดือนช่วงเข้าพรรษา จิณไตยศึกษาธรรมะ แน่นอนว่าเขาเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย แม้จะไม่เคยเห็นผีหรือฝันถึงคนตายมาก่อน จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกก็ได้ที่เขาฝันเห็นคนรู้จักที่ตายไปแล้ว
มิหนำซ้ำยังฝันแบบเดิมซ้ำๆ และคลินิกที่ถูกป่าประดู่รายล้อมนั่นก็ดันมีอยู่จริง จะพยายามปัดเรื่องนี้ทิ้งแล้วบอกตัวเองว่าเขาเพียงเครียดมาก คิดมาก จนเก็บมาฝันเลอะเทอะไปเอง ก็ดูจะบังเอิญเกินไปหน่อย
หากจะว่าดมิสา อิสราภรณ์...เกี่ยวข้องอะไรกับการตายของนุชชารีย์ ก็ไม่น่าใช่ เพราะนุชชารีย์เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุในบ้านของเขาเอง หรือเธอทำอะไรบางอย่างกับวิญญาณของนุชชารีย์อย่างนั้นหรือ วิญญาณภรรยาของเขาจึงถูกมัดมือมัดเท้าอย่างทรมานเช่นนั้น
จิณไตยขมวดคิ้วมองสบตาดมิสาในภาพถ่าย เธอดูเป็นคนดี...ดีเกินไปเสียด้วย แต่คนที่ฉากหน้าดูดีแต่เก็บซ่อนความเลวไว้เบื้องหลังนั้นมีถมไป แต่กระนั้นเขาจะตัดสินเธอจากความฝันของตัวเองก็ไม่ได้
เมื่อครุ่นคิดหาเหตุผลเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ ชายหนุ่มจึงค้นหาข้อมูลของดมิสาในเว็บต่อกระทั่งเจอภาพเธอนุ่งขาวห่มขาวในชุดชีพราหมณ์ถ่ายร่วมเฟรมกับหญิงสาวคนหนึ่งในชุดชีพราหมณ์เช่นกัน ซึ่งจิณไตยรู้จักหญิงสาวคนนั้นเป็นอย่างดี
เขายิ้มอย่างมีความหวัง
นี่ไงละ ไพ่ใบเด็ดที่จะนำพาเขาเข้าไปหาดมิสา อิสราภรณ์!
คราวนี้จะได้รู้เสียทีว่ากุมารแพทย์หญิงคนนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับนุชชารีย์กันแน่...
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **