จันทร์เสี้ยวรูปเคียวลอยเอื่อยเหนือศาลาวัดกลางกรุง เสียงสวดพระอภิธรรมดังแว่ว ไฟฟ้าถูกเปิดทุกดวงทำลายความมืดและความวังเวง ผู้คนมาร่วมงานแน่นขนัด เนื่องด้วยผู้เสียชีวิตเป็นอดีตนักข่าวชื่อดังซึ่งมีแฟนคลับและคนเคยร่วมงานกันจำนวนมาก
“ถ้าจะตายติดๆ กันขนาดนี้” หญิงสาวคนหนึ่งกระซิบกระซาบกับเพื่อนสนิทที่มาร่วมฟังพระสวดด้วยกัน “ที่พ่อพี่นุชแกพูดก็ฟังดูมีเหตุผลนะ คุณจิณน่ะ แกคงจะ...”
“ชูว์” คนฟังยกนิ้วที่กำลังประนมมือขึ้นจุปากเมื่อเห็นเจ้าภาพซึ่งเป็นสามีของผู้เสียชีวิตกำลังเดินผ่านมาทางนี้ จิณไตย...เป็นชายหนุ่มวัยสามสิบเศษ ใบหน้าคมคายได้รูปราวถูกสลัก ร่างสูงบึกบึนสมกับเป็นชายชาตรี เขาสวมชุดสุภาพสีดำ สีหน้าอมทุกข์ ด้านหลังนั้นมีเด็กสาววัยสิบแปดปีในชุดกระโปรงสีดำแบบเรียบเดินตาม หล่อนชื่อตารกา...เป็นน้องสาวซึ่งเป็นญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของจิณไตย
สองสาวกลั้นหายใจรอให้สองพี่น้องเดินผ่านไปก่อน แล้วถึงกับพรูลมหายใจออกมา
“ต่อให้เป็นอย่างพ่อพี่นุชว่า...” หนึ่งในสองเอ่ยขึ้นต่อ “ทั้งหล่อทั้งรวยขนาดนี้ ถ้าเขาจีบฉัน ฉันก็ยอมเสี่ยงตายว่ะ”
หญิงสาวทั้งสองกระแทกศอกใส่กันและแอบหัวเราะคิกคัก โดยไม่รู้เลยว่าบทสนทนาทั้งหมดนั้น หญิงชราที่เก้าอี้ตรงหน้าตนแอบได้ยินทั้งหมด เจิมจันทร์นั่งตัวตรง ประนมมือฟังพระสวด ไม่สนใจไยดีในสิ่งที่ได้รับฟัง ดวงตาฝ้าฟางจับจ้องไปยังโลงศพที่ประดับประดาด้วยดอกไม้หอมเป็นรูปนกยูงสีขาว สลับกับมองภาพถ่ายหน้าโลงศพที่เป็นหญิงสาวหน้าตาดี ระบุชื่อว่า นุชชารีย์ พิทักษ์เลิศจรรยา เสียชีวิตในวัยสามสิบสามปีพร้อมบุตรในครรภ์
เจิมจันทร์เหยียดยิ้มที่มุมปาก
ก่อนริมฝีปากชราจะแอบบริกรรมคาถาโดยไม่สนใจพิธีถวายสังฆ ทานอุทิศบุญแก่ผู้ตายเลย
‘สุสิสุสัง สุสินิมิตตัง นะมะพะทะ’ เสียงแหบพร่าเอ่ยออกมาในดวงจิต ‘อาคัจฉาหิ ขอเชิญขวัญเจ้าจงปรากฏแก่เรา’
เจิมจันทร์เพ่งมองโลงศพนั้นดวงตาคมกล้า ไฟฟ้าในศาลากะพริบสามครั้ง ยังผลให้พระสงฆ์และแขกสะดุ้ง มองหน้ากันเลิ่กลั่ก และในชั่วพริบตา แมวดำตัวหนึ่งก็กระโดดออกมาจากด้านหลังโลงศพ เสียงร้องของแมวดังหง่าวไปทั่ว กระถางธูปล้ม เกิดไฟลุกไหม้พรมอย่างที่ไม่น่าเป็นไปได้
ขณะที่เกือบทุกชีวิตกำลังนิ่งอึ้งกับเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นตรงหน้า ไฟฟ้าก็ชิงดับพรึบ! เสียงร้องกรี๊ดดังระงมศาลา ผู้คนลุกฮือวิ่งหนีออกมาจ้าละหวั่น เสียงสตาร์ตรถดังอึงพอๆ กับเสียงวิ่ง ก่อนที่รถหลายสิบคันจะพากันหนีออกจากวัด บ้างชนกัน บ้างเบียดกัน แต่กลับไม่มีใครกล้าลงจากรถมาเรียกประกันเลยสักคน มีแต่พยายามจะออกจากวัดไปให้เร็วที่สุดเท่านั้น
ท่ามกลางความวุ่นวายและภายใต้รัตติกาลอันมืดดำ เจิมจันทร์ยิ้มเยือกเย็น นัยน์ตาละเอียดที่ได้รับมาจากการฝึกฝนมนตร์ดำ มองเห็นวิญญาณหญิงสาวท้องแก่เกาะอยู่บนบ่ากว้างของสามี จิณไตยกำลังช่วยเด็กวัดดับไฟไหม้พรม และตะโกนสั่งให้สัปเหร่อตรวจสอบสวิตช์ไฟด้วย ชายหนุ่มพยายามแก้ไขความวุ่นวายที่บังเกิด โดยไม่รู้เลยว่าภายในโลงศพ...ปรากฏหนูผีตาแดงผู้กำเนิดจากอวิชชาแทะหลังโลงเข้าไปกัดเศษเนื้อและกระชากผมของนุชชารีย์ออกมาคาบไว้
หนูผีเลือนหายจากภายในโลง
พร้อมกับที่ร่างชราค่อยๆ เลือนหายไปในความมืดที่แม้มวลเมฆยังปิดกั้นแสงจันทร์...
----------
“กะระมะถะ โสสะอะนิ...”
เสียงบริกรรมคาถาอย่างยาวนานดังกังวานในห้องพระของเจิมจันทร์ บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดวังเวงราวป่าช้า ภูตผีปีศาจชั่วร้ายผู้เป็นบริวารจอมขมังเวทย์ลอยเอื่อยรายล้อมเจ้านายตน บ้างขู่ฟ่อใส่กัน บ้างกระชากดวงจิตอีกดวงมาฉีกกินประกาศศักดาให้ผีร้ายตนอื่นศิโรราบแก่ตน บ้างหัวเราะอย่างสาแก่ใจที่จะได้เห็นดวงจิตดวงใหม่ถูกกักขังทรมาน...
ไม่ต่างจากตนเอง!
ห้องพระของเจิมจันทร์หากมองด้วยตาหยาบ จะเห็นว่าเป็นห้องโล่งกว้างสไตล์บ้านไม้เรือนไทย กลางห้องมีโต๊ะหมู่บูชาไม้สักวางเด่นเป็นสง่า ปูด้วยผ้ากำมะหยี่สีดำและมีพระพุทธรูปวางไว้หลอกตา หากแต่เมื่อมองด้วยตาละเอียด จะเห็นหัวกะโหลกลงอักขระที่โหนกแก้มและคางวางไว้กลางโต๊ะ รายล้อมด้วยของอุบาทว์จัญไรจำพวกรูปปั้นหน้าตาน่ากลัวและเหล่าสรรพสัตว์ผู้รับใช้มนตร์ดำ
คนธรรมดาเมื่อก้าวเข้ามาจะได้กลิ่นไม้จันทน์หอมตลบอบอวลกลบกลิ่นผีร้าย...แต่หากผู้มีตาทิพย์ก้าวเข้ามาแล้วไซร้ กลิ่นแรกที่กระทบนาสิกคือกลิ่นอายของความตาย ความโกรธเกลียด
และเคียดแค้นชิงชัง!!!
ซึ่งเจิมจันทร์ลำบากนักกับการที่ต้องมาคอยกลบกลิ่นอายของภูตผีและมนตร์ดำของตนให้พ้นจากสายตาของดมิสา อีหลานจัญไร!!!
แต่ก่อนนี้มันเพียงมีพลังจิตหักงอช้อนได้ ตอนเป็นทารกเมื่อร้องไห้บางครั้งจะทำให้ข้าวของเล็กๆ ลอยขึ้นกระทบกัน ดาราวลีกลัวนักแต่ก็ยังรักลูก...ส่วนไอ้เลิศฤทธิ์ผัวของดาราวลีมันเป็นคนเจ้าชู้มักมาก หาเรื่องอยากจะขนสมบัติไปอยู่กับเมียน้อยใจจะขาด เลยใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างขอเลิกราโดยอ้างว่าดาราวลีมีชู้เป็นพ่อมดหมอผี ทั้งที่ลูกสาวหน้าเหมือนมันอย่างกับแกะ แล้วเลิศฤทธิ์ก็แทบไม่กลับมาเหยียบบ้านเสน่ห์จันทน์อีก
ไม่มีใครรู้เลยว่า เกิดอะไรขึ้นกับลูกสาวคนเล็กของดาราวลี...นอกจากเจิมจันทร์
ตอนนั้นนางบังเอิญเข้าสมาธิเห็นดวงจิตสีขาวมากมายรายล้อมดา ราวลีเมื่อคราวลูกสาวของนางตั้งครรภ์ได้เจ็ดเดือนเศษ เป็นดวงจิตที่ละเอียดเกินกว่าที่นางจะมองเห็น เด็กที่จะมาเกิดมีพลังวิญญาณมาก สามารถเป็นผู้นำวิญญาณได้เสียด้วย นางสรุปแบบนั้น
ซึ่งเมื่อครั้งที่นางสืบทอดอวิชชามาจากอาจารย์หมอผีมอญ นางไม่เคยลืมคำเตือนน่าประหวั่นเลย
‘จำไว้นะแม่เจิม ข้ามอบอำนาจมนตร์ดำให้เจ้าไปแล้ว นับจากนี้ไปมนตร์ที่ข้ามีจะจางหายไปจากตัวข้า มันจะไปอยู่กับเจ้าและเมื่อถึงวันที่เจ้าอายุมากขึ้น เจ้าต้องรีบส่งต่อมนตร์ดำให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นผีที่เจ้าเลี้ยงไว้มากมายมันจะแข็งข้อและคนแรกที่มันจะฆ่าก็คือเจ้า’
‘ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าดิฉันจะหมดสิ้นอำนาจในวันหนึ่ง หรือคะท่านอาจารย์’
‘ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้และยั่งยืน เจ้าจะกอดอำนาจจนตัวตายอย่างน่าสมเพช หรือจะแก่ตายอย่างสงบก็เลือกเอาแล้วกันแม่เจิม’
คนอย่างเจิมจันทร์ เสน่ห์จันทน์...ไม่มีทางตายอย่างน่าสมเพชเป็นอันขาด!
ดังนั้นนางต้องตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการหาทายาท และเด็กในครรภ์ของดาราวลีก็น่าสอยมาใช้นัก นางจึงเสกน้ำมนต์ให้ดาราวลีกินทุกวัน เป็นมนตร์ดำแบบเดียวกับที่นางใช้สะกดภูตผีวิญญาณร้าย นางจะสะกดหลานคนนี้ไว้ใช้เป็นทายาทโดยบริบูรณ์ ให้มันเป็นหลานที่เชื่อฟังนางราวกับต้องคำสาป นางจะขังมันไว้ในบ้าน จะสอนให้เรียนรู้มนตร์คาถาเพื่อสืบทอดโดยเฉพาะ
แต่น่าโมโหนักที่มีพระสงฆ์ยื่นมือมาขวาง!
พระดิน ขันติสุโภ บริกรรมคาถาเสกน้ำมนต์จากพุทธคุณนำมาให้ดาราวลีถึงบ้าน เมื่อดาราวลีดื่มเข้าไปเพียงอึกเดียวก็อ้วกออกมาเป็นตะกอนสีดำ เศษซากมนตร์ดำถูกทำลาย ดมิสาถือกำเนิดในวันนั้นโดยไม่มีใครคาดคิดและยังไม่ถึงกำหนดคลอด โดยมีพระดินยืนมองการกำเนิดของเด็กหญิงด้วยใบหน้าเรียบนิ่งราวกับรู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า
ดมิสามีพลังจิตก็เพราะเลื่อมลายอาคมส่วนหนึ่งของเจิมจันทร์ที่ยังหลงเหลืออย่างเจือจาง และเธอมองเห็นพรายวิญญาณได้ตอนอายุสิบสองปี แต่ที่ร้ายคือดมิสาไม่สามารถควบคุมความโกรธได้ หากหญิงสาวเกิดโกรธจนขาดสติขึ้นมาเมื่อไหร่ พลังจิตที่ซ่อนเร้นของดมิสาจะสร้างความเสียหายรุนแรงแก่ทุกสิ่งรอบข้าง และอาจฆ่าคนได้โดยไม่รู้ตัว
แม้แต่เจิมจันทร์เองก็ต้องระวัง
ครั้งแรกที่ดมิสาโกรธเหตุเพราะเจ้าหมาบุญเลิศถูกฆ่า ยังโชคดีที่วิญญาณรับใช้รายงานให้เจิมจันทร์ได้รู้ นางจึงใช้มนตร์หายตัวไปปรากฏในที่เกิดเหตุและเก็บกวาดได้ทันท่วงที นางจึงยังรักษาชื่อเสียงและหน้าตาของวงศ์ตระกูลไว้ได้ ไม่อย่างนั้นอีเด็กเวรนั่นคงฆ่าคนตายไปแล้ว!
เพราะเหตุนี้เจิมจันทร์จึงสะกดวิญญาณกุมารีไว้ในว่านเสน่ห์จันน์ทอง และหลอกให้ดมิสาเก็บไว้กับตัวโดยอ้างว่า เป็นเครื่องรางแก้วไหมทองสำหรับควบคุมความโกรธ เพื่อที่กุมารีจะได้คอยสอดส่องและรายงานความประพฤติของดมิสาทุกวัน แม้เจิมจันทร์จะพลาดหวังจากการได้ดมิสามาเป็นทายาท แต่นางจะไม่มีวันพลาดถูกสังคมตราหน้าว่ามีหลานสาวเป็นฆาตกรเด็ดขาด ซึ่งที่ผ่านมาดมิสาก็ควบคุมตัวเองได้ดีเหลือเชื่อในเรื่องความโกรธ
เสียก็แต่มันแรด! อยากแต่จะหาผัว! ซึ่งทำให้เจิมจันทร์ชังน้ำหน้าอีหลานอัปรีย์คนนี้นัก!
“โสสะอะนิ เอหิมามา...”
เจิมจันทร์ยังคงบริกรรมคาถาต่อ ตรงหน้านางคือเศษเนื้อและเส้นผมของนุชชารีย์ที่หนูผีคาบกลับมาให้ นางใช้เนื้อบดละเอียดผสมเลือดกับว่านเสน่ห์จันทน์ทองเข้าด้วยกัน ก่อนบริกรรมคาถาที่เพิ่งคิดค้นมาใหม่เพื่อใช้มนตร์ดำบรรจุส่วนผสมทุกอย่างเข้าไว้ในจี้เครื่องราง รวมทั้งเส้นผมของนุชชารีย์ด้วย
แต่ก่อนนี้นางต้องฆ่าแม่เพื่อควักศพเด็กออกมาทำพิธี แต่ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว แค่มีเส้นผม เลือด และชิ้นส่วนเนื้อหนังของแม่ตายทั้งกลมก็พอ!
“กุมารหรือกุมารี และดวงจิตดวงใจของอีเจ้าของเลือดเนื้อกายนี้”
นางเอ่ยเสียงเยียบเย็น
“อาคัจฉาหิ ขอเชิญขวัญสองเจ้าจงปรากฏแก่เรา”
เสียงหวีดร้องของวิญญาณนุชชารีย์ดังโหยหวนก่อนที่หญิงสาวจะถูกสะกดไว้ในเส้นผมของตนเองในจี้เครื่องราง ยังไม่ทันสิ้นเสียงทุกข์ทรมานของแม่ กุมารในร่างเด็กชายแปดขวบก็ปรากฏตรงหน้าเจิมจันทร์ นางสะกดวิญญาณที่ยังไม่ลืมตาไว้ในว่านเสน่ห์จันทน์ทองในเครื่องรางเดียวกันกับแม่ ด้วยว่าครั้งนี้ไม่ได้ควักศพเด็กออกมา การผนึกวิญญาณเด็กไว้เดี่ยวๆ โดยไม่มีวิญญาณแม่อยู่เบื้องหลังนั้นทำไม่ได้
เจิมจันทร์ร่ายมนตร์บังตากุมารไม่ให้มองเห็นวิญญาณแม่ตน เพื่อกุมารจะได้ไม่แข็งข้อในภายหลัง ก่อนเบิกเนตรกุมารด้วยคาถาปลุกชีพวิญญาณ
พรายกุมารผู้สวมเครื่องแต่งกายสีทองลืมตามองเจิมจันทร์อย่างไร้เดียงสา เขาจำเรื่องราวหนหลังมิได้เลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามานั่งอยู่ตรงหน้าหญิงชราผู้นี้ที่นี่ได้อย่างไร
เจิมจันทร์ยิ้มเย็น...
“กูจะตั้งชื่อมึงว่าสุวรรณ” นางกล่าว “ต่อจากนี้ไป มึงคือทาสรับใช้ของกู!”
** หมายเหตุ: เนื่องจากมีการจัดหน้าไว้ในรูปแบบหนังสือเล่มขนาด A5 อาจมีคำฉีกหรือเว้นวรรคมากกว่าปกติเมื่อนำลงเว็บ **