ครู่ใหญ่หลังจากนั้น
อึก อึก อึก...
“เออ กรอกๆ เข้าไป ตายอดตายอยากมาจากไหนวะ เห็นหายเข้าไปในร้านหนังสือนั่นตั้งนาน นึกว่าจะอิ่มออกมาเสียอีก” แม็กซ์ถามแล้วกระดกน้ำสีอำพันรวดเดียวหมดแก้ว สายตามองลูกน้องอย่างรอคำตอบ
“คุณมอริสให้ผมจิบชาร้อนแก้หนาวครับ”
“เออ แต่ฉันจำได้ว่าให้นายไปติดต่อซื้อที่ ไม่ใช่ไปช่วยแม่นั่นปลูกต้นไม้หรือไปจิบชา”
“ครับ เธอไม่ขาย” เคนเนธตอบสั้นๆ เขาไม่ชอบเท่าไรที่นายใช้คำไม่สุภาพกับผู้หญิง ด้วยความที่เคนเนธมาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างสุภาพชน และแม้ว่าเขามาทำงานกับนาย เพราะชอบพอในนิสัยใจคอที่ถึงลูกถึงคนของนาย แต่เวลาได้ยินแบบนี้ทีไรก็ไม่เคยทำใจให้ชินได้สักที
“แล้วบอกเหตุผลไหม”
“เธอบอกว่าร้านหนังสือของเธอเป็นแหล่งอาหารสมองครับ ทำนองนั้น”
“หลอกด่ากันเรอะ เหอะ อาหารสมองจืดๆ ที่ไม่มีใครอยากกินนะสิ ดื้อรั้นไปได้ เล่นตัวโก่งราคาหรือไง”
“ผมคิดว่าร้านหนังสือนั่นคงมีความหมายทางจิตใจกับเธอน่ะครับ อย่างที่นายรู้ว่าเธอเพิ่งเสียพ่อกับแม่ไปพร้อมๆ กัน”
“นี่ใจอ่อนแล้วสิ ไม่ได้เรื่องเลย อย่างนั้นฉันคงจะต้องไปจัดการเอง”
“เอ่อ ความจริงแล้วผมเห็นมีตึกถัดไปอีกสองบล็อก เป็นร้านขายจักรยาน ถ้านายสนใจผมจะไปติดต่อให้ครับ”
“จัดการไปเลย”
“ครับ” เคนเนธลอบพรูลมหายใจอย่างโล่งอก แต่แค่เดี๋ยวเดียวก็แทบสำลักลมหายใจตัวเอง เมื่อคนเป็นนายเอ่ยต่อว่า
“แต่ฉันต้องการร้านหนังสือนั่นด้วย! และฉันต้องได้”
----------
เวลาห้าทุ่มกว่าที่ ‘เดอะเคฟ’ ไนต์คลับระดับห้าดาวของเมือง แหล่งสังสรรค์ที่ไม่ว่านักท่องราตรีจะเริ่มค่ำคืนของพวกเขาที่ไหน ท้ายที่สุดก็ต้องมาปิดท้ายที่เดอะเคฟเสมอ ค่ำคืนนี้ของเดอะเคฟคลาคล่ำไปด้วยนักท่องราตรีที่กินดื่มและโยกย้ายส่ายสะโพกตามเสียงเพลงที่ดังกระหึ่มกันอย่างสนุกสนานแทบไม่มีที่ยืน เป็นอีกค่ำคืนหนึ่งที่พิเศษเพราะแม็กซ์จ้างทีมดีเจผิวสีชื่อดังมาจากนิวยอร์กถิ่นเก่าให้มาสร้างความบันเทิงตลอดสุดสัปดาห์ที่นี่ ความทุ่มไม่อั้นของเขาทำให้นักท่องราตรีหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย
“นายครับ พวกไฮยีนามา” เคนเนธในชุดสูทสีดำสนิท หล่อเหลาตั้งแต่หัวจดเท้าเดินเข้ามาบอกคนเป็นนายที่ห้องพักส่วนตัวบนชั้นสามของเดอะเคฟ
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
“ยังไม่แน่ครับ อาจจะแค่มาเที่ยว”
“จับตาดูดีๆ ถ้าเริ่มจับแขกก็จับโยนออกไปหลังคลับ ระวังอย่าให้ลูกค้าตกใจ ดูพวกต่างถิ่นกลุ่มนั้นด้วย ท่าทางจะเมามาจากที่อื่น” เขาชี้ไปยังคนกลุ่มหนึ่งในกล้องวงจรปิด
“ครับนาย”
“ใครมาตรวจวันนี้”
“เจ้าหน้าที่บราวน์กับเจ้าหน้าที่ฮิวส์ตันครับ”
“หึ ตาแก่นั่นจะทำงานไปจนอายุครบศตวรรษหรือไง ดี เดี๋ยวฉันจะลงไปทักทายเสียหน่อย”
“ครับ” เคนเนธถอยกลับออกไปทำตามหน้าที่ แม็กซ์คว้าเสื้อนอกสีน้ำเงินเข้ม สวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตา เขารูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีแทนคมเข้มอย่างหนุ่มเลือดผสม เลือดในกายเขามันปะปนกันจนขี้เกียจจะสืบสาวว่าตัวเองมีที่มาที่ไปยังไง รู้เพียงแต่ว่านายทหารผู้เป็นบิดาของเขาหอบหิ้วเขากลับมาด้วยหลังจากไปประจำการร่อนเร่ไปทั่วโลก ส่วนมารดาของเขาเป็นสาวชาวเกาะที่อพยพมาอยู่อเมริกา สัญชาติไม่แน่ชัดเท่าใดนัก เมื่อบิดาผู้ล่วงลับไปแล้ว ไม่เคยใส่ใจจะเล่า เขาก็ไม่คิดไต่ถามให้เสียอารมณ์ ในเมื่อทั้งสองออกไปจากชีวิตเขานานแล้ว คนหนึ่งจากเป็น อีกคนจากตายอย่างไม่ไยดีว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทำไมเขาจะต้องไปสนใจด้วยเล่า
อดีตไม่สำคัญหรอกว่าเขาเป็นใคร ปัจจุบันและอนาคตต่างหากล่ะที่เขาจะเป็นคนกำหนดมันเอง!
“สวัสดีครับเจ้าหน้าที่บราวน์” แม็กซ์เดินตรงไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสที่ยืนพิงรถสายตรวจ มองไปรอบๆ บริเวณด้านหน้าไนต์คลับที่ผู้คนกำลังกรูกันเข้าไปตามเสียงดนตรีที่ลอดออกมาทุกครั้งที่ประตูถูกเปิดออก
“แมคมาฮาน” บราวน์ปรายตามองมาช้าๆ พินิจพิเคราะห์ลุ่มลึกให้ ขณะที่อีกฝ่ายก็กำลังใส่ใจมองเขาเช่นกัน
ตาแก่บราวน์นี่เป็นแวมไพร์หรือยังไงนะ อายุปูนนี้แล้วยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
ร่างสูงที่ยืนพิงรถสายตรวจอยู่นั้นยังสง่า แผ่รังสีผู้รักษากฎหมายที่น่าเกรงขาม รัศมีของเจมส์ บราวน์ทำให้แม็กซ์ไพล่คิดถึงบิดาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ‘ไมเคิล แมคมาฮาน’ นาวิกโยธินผู้รับใช้ชาติมาหลายสมรภูมิจนเกษียณ แต่กลับปลิดชีพตัวเองจากโลกนี้ไปอย่างน่าอดสู
บิดายกให้เจมส์ บราวน์เป็น ‘พ่อทูนหัว’ ของแม็กซ์ตั้งแต่เกิด แม็กซ์เกิดและเติบโตในค่ายทหารตามบิดารอนแรมไปประจำการมาทั่วโลกพร้อมกับเพื่อนสนิทอีกสองคนของบิดา มาร์ค มอริส และเจมส์ บราวน์ แม้ว่าจะห่างกันไปบ้างหลังจากเพื่อนทั้งสองลาออกจากกองทัพ แต่ก็ยังติดต่อพบปะกันเมื่อบิดาของเขากลับมาสหรัฐอเมริกา แต่พอบิดาเกษียณก็เผชิญกับสภาวะจิตใจถูกกระทบกระเทือนหลังสงครามอย่างร้ายแรงจึงปลีกตัวไปอยู่เมืองเล็กๆ ในแคลิฟอร์เนียคนเดียว มารดานั้นหายไปจากชีวิตพวกเขาพักใหญ่ แม็กซ์เองก็กำลังติดพันกับการสร้างเนื้อสร้างตัวจึงแทบไม่ได้ติดต่อบิดาเลย จนท่านปลิดชีพตัวเองในบ้านพักเพียงลำพังในที่สุด
“ได้ข่าวว่านายไปติดต่อซื้อร้านหนังสือเก่ามอริส” บราวน์ไม่รีรอ เข้าเรื่องเร็วจนอีกฝ่ายหลุดจากภวังค์ อดหัวเราะหึไม่ได้
“ครับ”
“ทำอย่างนั้นทำไม” คำถามตรงๆ นั่นไม่ทำให้แม็กซ์สะทกสะท้าน
ถ้าตาเฒ่านี่คิดว่ายังควบคุมเขาได้ ก็ถือว่าบ้าไปแล้ว
“สำหรับผม มันก็แค่ธุรกิจ ผมต้องการที่ติดฝั่งนั้นเพื่อขยายกิจการทั้งสองฟากถนน ลูกค้าเริ่มมาก เริ่มมีปัญหาเรื่องที่จอดรถ”
“แต่ร้านหนังสือมอริสมีค่ามากกว่าจะถูกใช้เป็นที่จอดรถ หรือโรงยิมอะไรนั่น” เจ้าหน้าที่บราวน์เอ่ยสีหน้าขึงขัง
“ครับ ผมอยากรู้จริงๆ ว่ามูลค่าที่เจ้าของต้องการนั้นมันเท่าไรกันแน่ ผมขี้เกียจเดา มันเสียเวลา”
“มากกว่าที่นายจะจ่ายได้”
“มั่นใจอย่างนั้นเหรอครับ”
“อย่ารังแกผู้หญิงหน่อยเลยน่าแม็กซ์ นายทำกับลูกสาวบ้านมอริสแบบนี้ พ่อของนายคงนอนตาไม่หลับ”
“มาร์ค มอริสเป็นเพื่อนพ่อไม่ใช่เพื่อนผมและอย่างที่บอก ธุรกิจก็คือธุรกิจสำหรับคนอย่างผม”
“นายนี่มันช่างเป็นลูกไม้ที่หล่นไกลต้นเหลือเกินนะ” ได้ผล คำพูดประโยคนั้นทำให้ดวงตาสีเข้มวาววับ กัดฟันกรอด สมัยหนุ่มๆ เจมส์ชอบนักความหัวรั้นของเด็กคนนี้ มันทำให้เขาพาแม็กซ์ไปได้ทุกที่ราวกับเป็นลูกแท้ๆ แม็กซ์ไม่เคยกลัวที่จะลองอะไรใหม่ๆ แต่ตอนนี้เจมส์แก่เกินกว่าที่จะมางัดข้อกับมันแล้ว
“อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับใคร”
“เข้าใจอะไรยากเสียจริง เหอะ ตราบเท่าที่ฉันยังมีลมหายใจอยู่ ฉันจะไม่ให้นายรังแกแม็กกี้ได้ง่ายๆ หรอก”
“ผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมยายเด็กนั่นไม่ยอมโตเสียที”
“แม็กซ์! ทำไมนายไม่หอบเงินของนายไปเสวยสุขที่อื่นวะ เมืองนี่มันไม่เล็กไปหน่อยเหรอสำหรับแม็กซ์ แมคมาฮาน มาเฟียหนุ่มไฟแรง นายไม่น่าทิ้งนิวยอร์กมาเลย”
“เรื่องของผม”
“คงไม่คิดว่าฉันจะปล่อยให้รังแกแม็กกี้ได้ง่ายๆ เหมือนเมื่อก่อนหรอกนะ”
“ก็แล้วแต่จะคิด ยังไงก็ได้ครับ” แม็กซ์ก้มศีรษะให้ผู้อาวุโสแล้วหันหลังเดินกลับเข้าไปในอาณาจักรของตนเอง ไม่นานฝนก็เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่นั่นไม่ได้ทำให้จำนวนรถที่เลี้ยวเข้ามาจอดหน้าไนต์คลับชื่อดังลดลงเลยแม้แต่น้อย
----------
ที่อีกฟากหนึ่งของเมืองที่เงียบสงบ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะอยู่เมืองเดียวกัน แมกโนเลีย มอริสกำลังไล่สายตาอ่านจดหมายและเอกสารต่างๆ ที่ส่งมาทางไปรษณีย์ประจำวัน มันเป็นสิ่งที่หล่อนไม่ชอบที่สุด จดหมายและเอกสารจำนวนกว่าครึ่งส่งมาหาบิดามารดาที่ล่วงลับไปแล้วของหล่อน แม้หล่อนจะพยายามยกเลิกทุกอย่างไปแล้วก็ตาม แมกโนเลียจำได้ว่าติดต่อแจ้งการตายของบิดามารดาไปแล้ว แต่ก็ยังได้รับจดหมายหรือแม้กระทั่งโทรศัพท์เซ้าซี้เข้ามาแทบทุกวัน โดยเฉพาะจดหมายร้องขอให้บริจาคเงินเข้ามูลนิธิต่างๆ
ตอนนี้หล่อนอยู่ในฐานะที่ควรรับเงินบริจาค มากกว่าจะบริจาคเงินให้ใครได้
ทั้งยังพวกจดหมายแสดงความเสียใจทั้งหลายที่ควรจะทำให้หล่อนรู้สึกดีขึ้น แต่กลับทำให้หล่อนน้ำตาคลอ และรู้สึกโดดเดี่ยวจนแทบทนไม่ไหว
จดหมายจากเมืองไทย ครอบครัวที่มารดาของหล่อนจากมาตั้งแต่เดินทางมาเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกาแต่ยังสาว แต่เรียนไม่จบ เพราะมารดาตัดสินใจอยู่กินกับบิดาทันทีที่รู้ตัวว่าท้องแมกโนเลีย และเดินทางรอบโลกไปทุกที่ที่บิดาเดินทางไปประจำการในฐานะภรรยาของนาวิกโยธินหนุ่ม ถึงแม้มารดาจะเคยพาหล่อนกลับไปเยี่ยมครอบครัวฝั่งโน้นอยู่บ้าง แต่แมกโนเลียก็ไม่รู้สึกผูกพันกับญาติฝ่ายมารดาเลย อาจเป็นเพราะอคติที่ญาติฝ่ายนั้นมีต่อบิดาของหล่อน และอาจจะเผื่อแผ่มาถึงหล่อนอีกคนด้วยก็เป็นได้
แมกโนเลียนึกภาพตัวเองใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองไทยไม่ออก นอกจากรูปร่างหน้าตาที่บ่งบอกชัดเจนว่าหล่อนเป็นสาวเลือดผสมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กับตะวันตก และภาษาไทยที่พออ่านออกเขียนได้ หล่อนก็ไม่มีอะไรผูกพันกับเมืองไทยเลยแม้แต่น้อย
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **