ทดลองอ่าน ปลายปากกาอินเลิฟ 2 เรื่อง ใต้ร่มแมกโนเลีย : ตอนที่ 1

 

 

ตอนที่ 1

 

 

ภายในร้านขายหนังสือเก่ามอริส (Morris’s Used Books) ยามเที่ยง

เมี้ยวๆ เจ้าแมวขนฟูเดินมานั่งจุมปุ๊กอยู่หน้าชามข้าวร้องอ้อน ก่อนหน้านี้มันนอนขดตัวอยู่บนพรมเก่าแสนนุ่มริมหน้าต่างสูง สายฝนกำลังเทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาอยู่ด้านนอก เจ้าคริสตัลตัวนี้มันจะร้องก็ต่อเมื่อหิวหรือโมโหเท่านั้น และตอนนี้มันก็หิวอีกแล้ว...

“อะไรกันคริส เพิ่งกินไปหยกๆ ฉันยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยด้วยซ้ำ” เสียงดุอย่างไม่จริงจังนักดังมาจากร่างเล็กสมส่วนที่กำลังยืนอยู่บนบันไดทำจากไม้ที่พาดตู้หนังสือเก่าอยู่ เป็นตู้ขนาดใหญ่ทำจากไม้วอลนัทสูงจนเกือบถึงเพดาน

เมี้ยวๆ

มือบางที่กำลังจัดเรียงหนังสือตามหมวดหมู่ชะงัก คิ้วเรียวโค้งราววาดไว้ขมวดมุ่น จมูกเล็กย่นไปทางเจ้าเหมียวขนสีเทาอมฟ้า

เมี้ยวๆ

“คริสตัลเดี๋ยวก่อน เอ๊ะ นั่นใครมา”

กรุ๊งกริ๊งๆๆ

เสียงกระดิ่งที่แขวนตรงประตูร้านดังขึ้น ทันทีที่ประตูเปิดออกเสียงซ่าของสายฝนก็ลอดเข้ามาพร้อมร่างสูงโปร่งในเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ตำรวจ

“ลุงเจมส์ เปียกหมดเลยค่ะ เข้ามาไวๆ ฝนข้างนอกตกหนักมากเลยนะคะ” หล่อนลงมาจากบันได เช็ดมือด้วยผ้าขนหนูผืนเล็กแล้วก็คว้าผ้าสะอาดอีกผืนมายื่นให้ นายตำรวจอาวุโสยื่นถุงใส่มื้อเที่ยงให้หล่อนก่อนจะรับผ้ามาซับน้ำฝนที่เกาะพราวบนเครื่องแบบเรียบกริบ

“ของฝากจากป้าเฮเลน ฝนตกหนักมาตั้งแต่เช้าแล้ว ปีนี้ฝนดีมาก เขาว่าฝนเดือนเมษาฯ จะพาดอกไม้เดือนพฤษภาฯ มาสะพรั่ง” เขาพูดเสียงแหบ ยิ้มตาหยีให้เจ้าคริสตัล

“ขอบคุณค่ะ ฝนตกก็ดีนะคะ หนูเพิ่งตัดกิ่งกุหลาบหน้าบ้านไว้ ใส่ปุ๋ยพรวนดินด้วย และก็ว่าจะลงแมกโนเลียอีกต้นค่ะ ต้นที่อยู่หน้าร้านมันแก่เต็มที”

“ใช่น่ะสิ ตั้งแต่หนุ่มลุงก็เห็นแมกโนเลียต้นนั้นแล้ว ว่าแต่หนูทำคนเดียวไหวเหรอแม็กกี้”

“ไหวสิคะ สวนของพ่อกับแม่ หนูต้องดูแลให้ดี” สาวน้อยที่ถูกเรียก ว่า ‘แม็กกี้’ มีสีหน้าหม่นลง หล่อนเดินนำนายตำรวจบราวน์ไปที่โซฟามุมหนึ่งของร้านหนังสือมือสองเก่าๆ ของตน เจ้าแมวอ้วนลุกขึ้นเดินตามกลิ่นอาหารไปอย่างรู้ทัน

“ลุงจะให้พวกหลานๆ จอมขี้เกียจของลุงมาช่วยตัดหญ้าดีไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” แมกโนเลียยิ้มบางๆ เจมส์ บราวน์ไม่ได้เสนอความช่วยเหลือใดๆ ต่อ ขึ้นชื่อว่า ‘จอมขี้เกียจ’ หลานพวกนั้นคงไม่คิดจะมาช่วยเหลือสาวน้อยผู้อาภัพผู้นี้ฟรีๆ หรอก ถึงกระนั้นเจมส์ บราวน์ก็ยังอยากช่วยเหลือ แมกโนเลียยังเด็กเหลือเกินที่จะต้องมาเผชิญกับมรสุมชีวิตแบบนี้

การสูญเสียทั้งบิดาและมารดาผู้เป็นที่พึ่งไปในคราวเดียวกันเป็นเรื่องยากที่จะรับมือ โดยเฉพาะสำหรับสาวน้อยผู้อยู่เพียงลำพังผู้นี้ เจมส์ บราวน์กับครอบครัวมอริสสนิทกันมาตั้งแต่เขากับ ‘มาร์ค มอริส’ พบกันสมัยเรียนไฮสคูล เป็นเพื่อนรุ่นน้องที่ต่อจากนั้นก็เข้ารับราชการในหน่วยนาวิกโยธินของกองทัพด้วยกัน ผ่านสมรภูมิมาด้วยกันหลายครั้งจนเขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรงและออกจากราชการทหารมารับราชการตำรวจ ส่วนมาร์คหันหลังให้กับชีวิตในเครื่องแบบโดยสิ้นเชิง ช่วงชีวิตที่ต้องเดินเข้าสู่สมรภูมิรบเป็นหลุมดำในชีวิตของมาร์ค เขาพาภรรยาชาวไทยคือ ‘มัลลิกา มอริส’ และลูกน้อยแมกโนเลียกลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบในเมืองนี้จนแมกโนเลียโตเป็นสาว

ไม่น่าเชื่อเลยว่า การล่องเรือสำราญที่มาร์ค มอริสกับภรรยาของเขาใช้เงินที่เฝ้าเก็บหอมรอมริบจากการขายหนังสือในร้านหนังสือเก่าแก่แห่งนี้มาเป็นปีๆ จะเป็นการนำไปสู่จุดจบในชีวิตของทั้งคู่ เรือสำราญล่มกลางมหาสมุทรในพายุครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ทิ้งให้แมกโนเลียต้องรับภาระดูแลบ้านพร้อมกิจการร้านขายหนังสือมือสองที่ซบเซาเพียงคนเดียว

‘สมัยนี้ไม่ค่อยมีใครอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ กันแล้วค่ะ’ แมกโนเลียเคยเปรยๆ กับเขา ตั้งแต่ก่อนบิดามารดาจากไปด้วยซ้ำ ทั้งสองคิดอยากจะเปลี่ยนไปทำกิจการอย่างอื่นบ้าง แต่ก็ยังรอให้แมกโนเลียเรียนจบเสียก่อน

ไม่คิดว่าทุกอย่างที่วางแผนไว้อย่างดีจะมาพังลง เพียงเพราะพายุลูกเดียว

เมี้ยว

“คริสตัล รอก่อน” เจ้าของตวัดตาหวานดุใส่ เจ้าเหมียวอ้วนจ้องมองกลับแล้วก็เดินส่ายตูดกลับไปนอนงอนอยู่บนพรมที่เดิม หากสายตารีๆ ร้ายกาจคู่นั้นยังมองกล่องใส่อาหารเจ้าอร่อยไม่วางตา

“กินกันเลยนะคะลุง จิบชาสักหน่อยไหมคะ จะได้อุ่นขึ้น”

“อืม ก็ดีเหมือนกัน” ว่าแล้วเขาก็ยกมือขึ้นปิดปากไอคุกๆ ติดๆ กันสองสามที แมกโนเลียผละไปชงชาร้อนๆ อย่างไม่สบายใจ นายตำรวจเจมส์ บราวน์ผู้นี้แม้ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติสนิทคนเดียวในโลกที่หล่อนเหลืออยู่ เขาเป็นเพื่อนแท้ของบิดา ร่วมรับใช้ชาติด้วยกันมา ขนาดบิดาลาออกจากราชการทหารมาแล้วเขาก็ยังตามมาเป็นลูกค้าร้านหนังสือ ผูกพันกันเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว เมื่อเจ้าของร้านทั้งสองจากไปอย่างกะทันหัน เขาจึงแวะเวียนมาดูแลแมกโนเลียมิได้ขาด

เจมส์ บราวน์ย่างเข้าวัยแปดสิบกว่าแล้ว เขาเป็นนายตำรวจที่มีอายุมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของรัฐก็ว่าได้ หลังจากลาออกจากราชการทหารเขาก็เข้ารับราชการตำรวจ และเมื่อครบอายุเกษียณเขาขอปฏิบัติหน้าที่ต่อโดยไม่รับเงินเดือน ในเมืองนี้ไม่มีใครไม่รู้จักเจมส์ บราวน์

มองเผินๆ เขาก็ไม่ต่างจากชายแก่ท่าทางใจดีธรรมดาๆ คนหนึ่ง แต่ใครจะไปรู้ว่าเจมส์ บราวน์เป็นเจ้าของที่ดินเกือบร้อยเอเคอร์ที่ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ในเมืองมาเช่าทำกิจการ น่าเสียดายที่ลูกหลานของเขาไม่เอาถ่าน จนนายตำรวจชราต้องทำใจ จะมีก็แต่แมกโนเลียที่คอยเป็นห่วงเป็นใยเขาอย่างจริงจัง และไม่สนคำพูดถากถางหาว่าหล่อนต้องการมรดกจากชายแก่อย่างเขาแม้แต่น้อย

ทั้งสองนั่งลงจัดการกับมื้อเที่ยงกันเงียบๆ โดยมีฝนโปรยปรายอยู่ข้างนอก ประตูร้านปิดสนิทอย่างที่เป็นทุกวัน ช่างแตกต่างจากตึกมหึมาสี่ชั้นทันสมัยฝั่งตรงข้าม ที่ลานจอดรถแน่นขนัดจนแทบล้นออกมาบนถนนหลักทุกวัน กลุ่มคนวัยทำงานในชุดออกกำลังกายทะมัดทะแมงจับกลุ่มกันเดินเข้าออกประตูบานใหญ่อย่างไม่ขาดสาย แม้ในวันที่ฝนตกปรอยๆ น่านอนอุตุอยู่บ้านอย่างนี้ก็ตาม ตัวตึกที่ติดกระจกทั้งหลังทำให้คนที่ผ่านไปมาเห็นความคึกคักของกิจกรรมการออกกำลังกายด้านในได้อย่างชัดเจน

“ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะยอมเสียเงินเดือนละไม่น้อยเพื่อเข้าไปวิ่งบนลู่แคบๆ นั่น แถมเต้นยึกๆ ยักๆ อะไรไม่รู้”

คำพูดวิจารณ์จากปากผู้ชราทำให้แมกโนเลียเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง รอยยิ้มหวานระยับประดับใบหน้าเล็ก

“ฟิตเนสกำลังเป็นที่นิยมค่ะลุง คนเดี๋ยวนี้ใส่ใจสุขภาพมากขึ้นนะคะ”

“ที่ไหนได้ล่ะ กลางวันมาออกกำลังกายกันที่นี่ ตกกลางคืนก็ไปดื่มเมาหัวราน้ำที่คลับเดอะเคฟนั่น มีเรื่องกันแทบทุกคืนจนตำรวจระอา เจ้าของก็เป็นคนเดียวกันกับเจ้าของฟิตเนสนั่นล่ะ ยังไงก็ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง เจ้าหนุ่มแมคมาฮานคนนี้ทำยังไงๆ ก็หนีไม่พ้นธุรกิจมีนอกมีใน”

“มิน่าล่ะ” แมกโนเลียครางในลำคอเม้มปากอิ่ม นัยน์ตาลุกวาว

“มีอะไรรึ”

“เขาส่งคนมาถามซื้อร้านมอริสกับหนูค่ะ บอกว่าจะขอซื้อทั้งหมดรวมตัวบ้านข้างหลังด้วย ราคาไม่เกี่ยง”

“แม็กซ์ แมคมาฮาน! มันจะมากไปแล้วนะ นี่คงคิดจะฮุบทุกอย่างในเมืองนี้เลยสินะ”

“อย่าบอกนะคะว่าเขาอยากได้ที่ของลุงเหมือนกัน” ดวงตาสีคาราเมล ข้นเบิกกว้าง ตำรวจอาวุโสพยักหน้า “นี่เขาเป็นมาเฟียหรือคะ”

“ก็ทำนองนั้นละ นิสัยเดิมไม่เคยเปลี่ยน”

“นิสัยเดิม? ลุงรู้จักมาเฟียคนนี้มาก่อนหรือคะ”

เจมส์ บราวน์มองสบดวงตาโตของหลานสาวผู้อาภัพ เขาพยักหน้าเบาๆ “เจ้านี่เกเรมาตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่ม เข้าๆ ออกๆ สถานกักกันเป็นว่าเล่น หนูอยู่ห่างๆ เขาไว้นะ”

“โอย หนูไม่ชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้วค่ะ ลำพังจะพาร้านกับบ้านให้รอดไปแต่ละเดือนก็ยากแท้ ไม่มีเวลาไปต่อกรกับมาเฟียหรอกค่ะ”

“อืม ว่าแต่หนูอยากขายที่หรือเปล่าล่ะ”

“ไม่ค่ะ ถ้าทำอย่างนั้น หนูคงเป็นลูกที่แย่มากที่พ่อแม่จากไปได้ไม่เท่าไรก็ขายสมบัติกินหมด”

“ลุงเข้าใจ แต่มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงไหม ทำเลร้านหนูอยู่ตรงข้ามกับกิจการเขาพอดี ลุงว่าเจ้านั่นคงคิดจะฮุบที่แถวนี้ไว้ทั้งหมดแล้วสร้างย่านธุรกิจขึ้นใหม่แบบครบวงจร เขาเป็นคนทะเยอทะยานแบบนี้เสมอ ความจริงก็ไม่ใช่คนเลวอะไร แค่เป็นคนหัวดื้อชอบเอาชนะมากเท่านั้นเอง”

“เหมือนลุงจะรู้จักเขาดีทีเดียวนะคะ”

ผู้เป็นลุงพยักหน้า ดวงตาสีเข้มหลบวูบไวจนแมกโนเลียไม่ทันสังเกตเห็น

“จริงๆ พื้นเพเขาก็เป็นคนเมืองนี้เหมือนกัน”

“หรือคะ ลึกลับจริงนะคะมาเฟียคนนี้”

“อืม ประเภทหนุ่มเลือดร้อนน่ะ เขาคิดว่าเงินเป็นพระเจ้า”

“นั่นสิคะ ไม่เหมือนคุณลุงของหนู เงินเปลี่ยนแปลงลุงเจมส์ที่น่ารักไม่ได้เลย ขอบคุณนะคะที่ดีกับหนูเสมอมา ส่วนร้านกับบ้านนี้หนูจะเก็บรักษาไว้ให้ได้ หมดเวลามานั่งเศร้าแล้วจริงไหมคะ” มือเรียวปาดน้ำตาจากพวงแก้มใส “หนูเรียนใกล้จบแล้ว คิดว่าจะกลับไปทำงานที่ร้านป้าเฮเลนช่วงที่ไม่มีเรียน ส่วนร้านหนังสือนี้จะวานน้องที่มหา’ลัยมาเฝ้า เขาหาที่เงียบๆ ทำงานส่งอาจารย์พอดีค่ะ”

“จะไหวหรือแม็กกี้ บางวันอาจต้องกลับค่ำมืด”

“ไหวสิคะ ลุงไม่ต้องห่วงนะคะ ใครๆ ก็รู้ว่าหนูเป็นหลานลุง รับรองไม่มีใครกล้าทำอะไรหนูแน่ จริงไหมคะ”

“อืม ขอให้บอกเถอะ” เจมส์ บราวน์โยกศีรษะทุยไปมาด้วยความเอ็นดู เขาหยิบหนังสือสองสามเล่มจากร้านแล้วจ่ายค่าหนังสือราคาเต็มและเป็นลูกค้ารายแรกและรายเดียวของร้านมอริสในวันนั้น

----------

ในเวลาเดียวกันที่อีกฟากหนึ่งของถนน บนชั้นสี่ภายในตึกกระจกสีเทาเข้มของฟิตเนสเดอะเคฟ ซึ่งเป็นเพนต์เฮาส์ส่วนตัวของแม็กซ์ แมคมาฮาน ร่างสูงกำยำกำลังออกกำลังกายอย่างมุ่งมั่น พร้อมกับจ้องมองฝ่าสายฝนและกระจกมัวๆ เข้าไปในตัวตึกอิฐแดงชั้นครึ่งยุคหนึ่งเก้าสามศูนย์ ที่ร่มรื่นด้วยแมกโนเลียเฒ่าต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาเต็มพื้นที่หน้าร้าน บนกิ่งใหญ่ต่ำสุดแขวนชิงช้ำจากไม้และเชือกเส้นยักษ์ที่บางครั้งเขาเห็นคนแก่ที่มาซื้อหนังสือไปนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือที่เพิ่งซื้อมา บางทีก็เป็นเจ้าของร้านตัวเล็กกับแมวอ้วนๆ

          ช่างเป็นการใช้ชีวิตที่อืดอาดยืดยาดเสียจนน่ารำคาญสำหรับคนที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวอย่างหล่อน แมกโนเลีย มอริส หล่อนเอาแต่ใช้ชีวิตย่ำอยู่กับที่ราวกับคนแก่แบบนั้นได้ยังไงกันนะ

          ดวงตาสีเข้มของแม็กซ์วาววับ กรามบดแน่นเข้มข้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวที่อัดแน่นในอก สองแขนเกร็งกระชับยามออกแรงดึงเครื่องออกกำลังเข้าหาตัว ทำให้กล้ามเนื้อไหล่หลังทุกมัดขมวดเคร่ง ขยับรับกันเป็นจังหวะอย่างสวยงาม สองขาแน่นไปด้วยมัดกล้ามไร้ไขมันแยกได้ฉากพอดีและยึดพื้นไว้อย่างมั่นคง ร่วมชั่วโมงแล้วที่ร่างเล็กบอบบางอ้อนแอ้นราวเด็กมัธยมที่เดินไปเดินมาอยู่ในร้านตกเป็นเป้าสายตาเขา ราวกับลูกกวางที่กำลังถูกซุ่มรอขย้ำ

“เพราะบารมีตาแก่บราวน์สินะ เด็กนั่นถึงไม่ยอมขายร้านหนังสือเก่านั่นเสียที”

“ครับ บราวน์อาจจะอยากซื้อไว้เองมั้งครับ ตระกูลนี้เป็นเจ้าของที่เกือบครึ่งเมืองอยู่แล้ว”

“ฉันไม่สน! ตาแก่นั่นจะอยากได้ที่ผืนไหนก็ช่าง แต่ที่ฝั่งตรงข้ามนี้ฉันมีแผนธุรกิจไว้แล้ว ต้องซื้อมาให้ได้ นายไปคุยมาใหม่ เพิ่มราคาขึ้นอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์”

“ครับนาย”

----------

เกือบหกโมงเย็นซึ่งเลยเวลาปิดร้านหนังสือมานานแล้ว ฟ้ายังสว่างตามประสาฤดูใบไม้ผลิ แมกโนเลียยังเปิดประตูหน้าร้านไว้ในขณะที่เดินไปหลังร้าน ผ่านทางเดินที่ปูลาดด้วยอิฐแดงเก่าๆ ฝีมือหล่อนกับบิดาเมื่อห้าหกปีก่อน ผ่านกอกุหลาบหลากสีหลายกลิ่นของมารดาและสนามหญ้าเขียวสดแซมด้วยวัชพืชที่ออกดอกเหลืองสลับขาวสวยน่ารักจนหล่อนไม่อยากถอน ผ่านไปที่บ้านชั้นเดียวหลังเล็ก ขนาดสองห้องนอน สร้างด้วยอิฐชนิดเดียวกันกับร้านด้านหน้า

แมกโนเลียเปลี่ยนเสื้อผ้ามาสวมใส่ชุดหมีทำสวน หยิบเสียม พลั่ว ดินปลูกสองถุงและแมกโนเลียต้นสูงเท่าเอวที่แอบออกดอกก่อนวัยต้นหนึ่งมาใส่รถเข็นสีเขียวคันเก่า แมกโนเลียต้นนี้หล่อนเพิ่งซื้อมันมาจากร้านขายต้นไม้ในราคาลดกว่าครึ่ง ตอนนั้นหล่อนเห็นมันยืนต้นอยู่ในกระถางอย่างเดียวดายท่ามกลางต้นไม้นานาที่ถูกนำมาลดราคา ใบของมันเริ่มเหี่ยวเฉา ไม่นานก็คงถูกเอาไปทิ้ง หญิงสาวไม่ใจร้ายพอที่จะทิ้งมันไว้อย่างนั้น

แมกโนเลียเข็นทุกอย่างไปตามทางเดินเล็กที่นำไปทางหน้าร้าน ที่มุมหนึ่งของที่ดินของหล่อนยังว่างเปล่า ห่างจากแมกโนเลียเฒ่าที่มีชิงช้าไม้เก่าๆ แขวนห้อยอยู่ราวหลายสิบเมตร บริเวณโล่งๆ นั้นรอแมกโนเลียต้นนี้อยู่

“สวัสดียามเย็นครับ คุณมอริส”

เสียงทุ้มนุ่มหูดังขึ้นระหว่างที่หล่อนกำลังเทดินปลูกลงไปในหลุมที่เพิ่งขุดเสร็จ แมกโนเลียชะงัก หล่อนเห็นรองเท้าแบบผู้ชายขัดมันปลาบก็ลุกขึ้นยืนพร้อมรอยยิ้มวาดหวัง

ลูกค้ากระมัง

“สวัสดีค่ะ” หล่อนเสยผมที่เปียกเหงื่อ โคลนเล็กๆ เปื้อนปลายนิ้ว หล่อนแอบปัดมันออกกับกางเกงหมีตัวหลวม ลูกค้าหนุ่ม ดูคุ้นหน้า แต่แล้วแค่เพียงไม่ถึงนาทีหล่อนก็จำได้ว่าเขาเป็นใคร

“มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” เขาเอ่ยถาม สายตาภายใต้แว่นกรอบเหลี่ยมบางที่เข้ากับใบหน้าคมอย่างพอดิบพอดีนั้น ปรายตามองต้นไม้ที่นอนเค้เก้อยู่บนปากหลุมพื้นดินแฉะๆ นั่น

“ไม่เป็นไรค่ะ คุณมีธุระอะไรหรือคะ”

“เจ้านายผม” เขาเอ่ยแล้วมองนำหล่อนไปทางตึกกระจกฝั่งตรงข้าม ที่ชั้นสี่ ‘นาย’ ผู้อยู่ในกางเกงออกกำลังกายขาสั้นแนบเนื้อ กับผ้าขนหนูผืนเล็กพาดบ่า เปลือยอกกว้าง ใช้มือหนึ่งค้ำกระจก อีกมือเท้าสะเอวมองมาทางหล่อนกับแขกที่ไม่ใช่ลูกค้าตรงหน้านี้อย่างคุกคาม

“คุณแมคมาฮานยืนยันความประสงค์ที่จะซื้อที่ดินจากคุณมอริสครับ”

“แต่ดิฉันปฏิเสธไปแล้วนี่คะ”

“ครับผม” นายหน้าหล่อมีทีท่าร้อนใจ ปากสีชมพูอย่างคนผิวขาวจัดและสุขภาพดีเม้มเข้าหากันแล้วคลี่ยิ้มออกอย่างใจเย็น “แต่เรายินดีเพิ่มราคาให้อีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ครับ”

“อืม” เสียงครางในลำคอดังมาเบาๆ คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้นทำท่าครุ่นคิด ดวงตาสีอำพันสะท้อนแดดยามใกล้ค่ำเป็นประกายวาววับ หล่อนปักพลั่วลงที่พื้นดินเละๆ ใช้สองมือจับด้ามมันไว้ ปรายตามองไปทางตึกกระจก แล้วก็หันกลับมาสบตานักเจรจาหนุ่มหล่อ

“ดิฉันไม่ขายค่ะ ราคาจะสูงเท่าไรก็ไม่ขาย รบกวนคุณแจ้งเจ้านายคุณด้วยนะคะ”

“คือว่านายของผมมีแผนขยายกิจการสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในเมืองของเราที่กำลัง...”

“ค่ะ กิจการของคุณแมคมาฮานสำคัญมาก เพราะช่วยดูแลสุขภาพกายของลูกค้า แต่กิจการของดิฉันก็ให้อาหารสมอง ซึ่งคุณก็รู้ใช่ไหมคะว่ามันสำคัญไม่แพ้กัน”

“ครับ”

“ขอบคุณนะคะที่แวะมา สนใจหนังสือสักเล่มไหมคะ เชิญเลือกตามสบาย ดิฉันขอตัวปลูกต้นไม้ให้เสร็จก่อนที่มันจะตาย” หล่อนนั่งยองๆ ใช้พลั่วตักดินขึ้นมาจากหลุมแฉะๆ แล้วก็เลิกสนใจเขาอีกต่อไป

เคนเนธ โจนส์ยืนคว้าง เขามองข้ามถนนไปสบตากับเจ้านายที่คงจะอ่านท่าทางของสาวน้อยเมื่อครู่นี้ออกเช่นกัน เพราะดูกำลังหัวเสียสุดๆ เขาเหวี่ยงผ้าขนหนูไปอีกทางแล้วเดินหายไปจากหน้าต่างทันที เคนเนธถึงกับถอนหายใจออกมา

“ช่วยหลบหน่อยค่ะ” สาวร่างเล็กขยับลุกขึ้นยืน หล่อนวางพลั่วและกำลังจะลากเจ้าต้นไม้ชื่อเดียวกันกับตนเองลงหลุมปลูก ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกแล้ว

“มา ผมช่วย” เคนเนธปลดกระดุมข้อมือ พับแขนเสื้อลวกๆ แล้วย่อตัวลงจับลำต้นของเจ้าต้นไม้ไว้มั่น ดูใกล้ๆ จึงได้เห็นว่ามันให้ดอกสีขาวดอกใหญ่ กลีบสีขาวนวล เขาเพิ่งรู้ว่ามันคือต้นเดียวกับเจ้ายักษ์ที่ยืนอยู่หน้าร้านหนังสือนั่นเอง

ลงไม้ใหญ่แบบนี้คงไม่คิดเปลี่ยนใจสินะ

“เดี๋ยวค่ะ ขอฉันแกะถุงพลาสติกออกก่อน” หล่อนนั่งลงใช้มือเล็กๆ ฉีกถุงพลาสติกสีดำจนขาดและดึงมันออก ก่อนจะบิดินปลูกร่วนๆ ออกเผยให้เห็นรากของต้นแมกโนเลีย

“เอาละค่ะ แมกโนเลียน้อยๆ พร้อมสำหรับบ้านใหม่แล้ว” หล่อนช่วยเขาประคองเจ้าต้นไม้นั่นลงหลุม ตั้งตรง เอียงซ้ายเอียงขวามองจนพอใจจึงค่อยใช้พลั่วตักดินกลบหลุม ฝนโปรยลงมาหนักขึ้นทุกที หล่อนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ส่วนเขาเสื้อเชิ้ตที่สวมใส่เปียกแนบกายจนเห็นเสื้อกล้ามด้านใน ผมสีอ่อนเปียกลู่เผยโครงหน้าคมคายราวเทพบุตร แมกโนเลียรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“คุณเปียกหมดแล้ว เข้าไปข้างในกันเถอะค่ะ” หล่อนเอ่ยเสียงเบา เดินนำเขาไปตามทางเดินเข้าทางประตูหลังร้าน

“เชิญใช้ห้องน้ำตามสบายนะคะ เดี๋ยวฉันมา ขอเข้าไปจัดการตัวเองด้านในแป๊บ” หล่อนบอกแล้วก็เดินลับหายไป

เคนเนธมองตามไปแล้วก็รีบถอดรองเท้าเปื้อนโคลนของตนเองก่อนจะเข้าไปในห้องน้ำขนาดเล็กที่อยู่หลังตึกนั้น ผนังสองข้างเป็นอิฐแดง ตกแต่งด้วยบัวรดน้ำเก่าๆ กับปลูกไม้ใบเลื้อยสีเขียวสด ด้านในมีเทียนเล่มใหญ่ส่องแสงวับแวมและกลิ่นหอมอุ่นๆ กำจาย ผ้าขนหนูลายดอกเดซี่สดใสที่พาดอยู่เข้ากับฤดูใบไม้ผลิ แสดงถึงความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าของบ้าน

เคนเนธล้างมือล้างเท้า และใช้ผ้าขนหนูจุ่มน้ำ บิดเช็ดล้างหน้าล้างตาจนสะอาดพอใช้แล้วจึงออกมาจากห้องน้ำ เขาได้ยินเสียงคนกำลังทำอะไรกุกกักๆ อยู่ด้านในจึงเดินตามทางเดินเข้าไป แมกโนเลียเงยหน้าขึ้นจากถ้วยชาใบใหญ่   

“เชิญนั่งที่โซฟาก่อนสิคะ อาจจะมืดไปสักนิด เพราะไฟดวงใหญ่ตรงกลางห้องมันเสีย” หล่อนบอกแล้วประคองถ้วยชาร้อนๆ สองถ้วยเดินตามมานั่งลงข้างๆ เขา กลิ่นชาร้อนหอมอบอวล เคนเนธรับมันมาจิบอย่างไม่เกี่ยงงอน แม้ใจจะนึกว่าหากได้วิสกี้ดีๆ สักแก้ว เขาคงอุ่นขึ้นเร็วกว่านี้

แต่ก็นั่นละ สาวน้อยที่ใช้ชีวิตอยู่ในร้านหนังสือคร่ำครึแบบนี้จะมีวิสกี้ดีกรีแรงแบบนั้นได้อย่างไรกัน ที่สำคัญกลิ่นของมันคงไม่เข้ากับกลิ่นเทียนหอมอุ่นๆ ในร้านหนังสือเก่านี้นักหรอก

“ร้านคุณมีหนังสือเยอะเหมือนกันนะครับ”

“ค่ะ ซึ่งก็หมายความว่ามันขายไม่ค่อยออกค่ะ” แมกโนเลียสรุปง่ายๆ ราวกับว่าหล่อนทำใจกับมันมาแล้ว

“คุณคงรักหนังสือมาก ผมเห็นร้านหนังสือนี้ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างเดอะเคฟใหม่ๆ”

“ค่ะ ตอนนั้นคุณคงเห็นพ่อกับแม่ของฉันด้วย ตอนที่ท่านยังอยู่ร้านไปได้ดีกว่านี้มาก ฉันเองไม่ค่อยมีหัวการค้าเท่าไร” หล่อนพูดไปก็จิบชาไป ดวงตาโตๆ สีเข้มคู่นั้นอ่อนแสงลงเล็กน้อยเมื่อเอ่ยถึงบิดามารดา หล่อนสวมสเวตเตอร์ถักหลวมๆ สีเหลืองนวล ดูน่าเอ็นดูราวลูกแมวตัวเล็กๆ

เมี้ยว!

“คริสตัล มานี่มา แมวของฉันน่ะค่ะ”

“อ้อ” เคนเนธรับเบาๆ จิบชาพลางมองเจ้าเหมียวอ้วนกระโดดขึ้นมาซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนเล็กๆ ดวงตาสีฟ้าของมันวาววับ จ้องมองมาทางเขาเขม็ง

“เจ้านายของผม คุณแมคมาฮานเป็นนักธุรกิจที่เก่ง”

“ฉันทราบค่ะ” หล่อนเอ่ยเรียบๆ “แต่เจ้านายของคุณคงไม่ได้สนใจลงทุนกับกิจการร้านหนังสือหรอกใช่ไหมคะ”

“เอ่อ คงไม่ครับ” เขาเผยยิ้มนิดๆ ให้กับความอารมณ์ขันแต่หน้านิ่งๆ ของหล่อน

“ก็นั่นสิคะ ฉันก็คิดอย่างนั้น ต้องขอโทษด้วยที่ต้องทำให้ผิดหวังอีกครั้ง นี่ก็มืดแล้วฉันคงต้องปิดร้านเสียที ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยปลูกแมกโนเลีย”

“ครับ ผมชื่อเคนเนธ โจนส์”

“ฉัน แมกโนเลีย มอริส ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

 

 

** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com