ทดลองอ่าน ปลายปากกาอินเลิฟ 2 เรื่อง 'เลิฟโค้ช คนที่รัก' รักนะ นายโค้ชนอกตำรา : ตอนที่ 5

 

 

ตอนที่ 5

 

 

ด้วยไฟอันลุกโชนที่ได้มาจากการอบรมในคลาสพัฒนาตนเอง คืนนี้ของขวัญจึงจัดที่ทางบนโต๊ะทำงานตัวเล็กๆ ในห้องนอนให้ดูสะอาดตา แล้วนั่งลงหน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอพร้อมแล้วที่จะทำงานที่ร้างราไปนาน งานที่เป็นความฝัน ความถนัด ไม่ต้องพบปะผู้คน เป็นงานที่ไม่เกินความสามารถของเธอ เพราะเคยทำสำเร็จมาบ้างแล้ว

สำเร็จ? หญิงสาวชะงักขณะมือแตะคีย์บอร์ด ภาพในอดีตสมัยเรียนหวนมาจนได้ หลังจากที่เธอไปพบบรรณาธิการจอมหื่นคนนั้น และวิ่งหนีการปลุกปล้ำของเขาออกมาได้ เขาก็ยังส่งข้อความมาหาเธออีก

‘หนูคงไม่เอาเรื่องนี้ไปแฉจนฉาวโฉ่นะ เพราะมันก็ไม่เป็นผลดีต่อเราทั้งคู่ ไม่มีใครพิสูจน์ได้ด้วยว่าหนูพูดจริงหรือโกหก ไหนๆ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว พี่ขอให้มันจบลงด้วยดีแล้วกัน อย่างน้อยๆ ก็ขอให้เห็นแก่ที่พี่อุตส่าห์พิมพ์นิยายให้หนูตั้งสองเล่ม’

เธอจำได้ว่าพิมพ์ตอบเขาไปว่า ‘พี่ใช้คำว่าอุตส่าห์เลยเหรอคะ เรื่องนี้มันเป็นบุญคุณกันด้วยเหรอ พี่ได้เงินเดือน สำนักพิมพ์ก็ได้เงินจากยอดขาย เป็นเรื่องของธุรกิจ ทำไมพี่ต้องมาเอาบุญคุณกับนักเขียน’

‘นักเขียน?’

บ.ก. ที่ชื่อคำรณพิมพ์กลับมา ของขวัญนึกออกทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของเขาขณะที่พิมพ์ คนคนนี้ช่างน่าขยะแขยงสิ้นดี!

‘เธอกล้าเรียกตัวเองว่านักเขียนเลยเรอะ’ เขาเปลี่ยนสรรพนามจาก ‘หนู’ มาเป็น ‘เธอ’

‘นี่จะบอกให้นะ ไอ้สองเล่มนั้นของเธอ โคตรไม่ได้ความ ที่จริงมันเหลือบานเบอะตั้งแต่เล่มแรกแล้วด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ยังอยากให้โอกาสเธออีกครั้ง รู้ไหม ฉันต้องกล่อมฝ่ายการตลาดแค่ไหน เขาถึงยอมพิมพ์ให้ แล้วผลก็คือ มันเจ๊งหนักกว่าเล่มแรกอีก เรื่องนี้เธอคงไม่รู้เลยสิท่า ได้ค่าเรื่องไปแล้วคงคิดว่าเธอเป็นนักเขียนใหญ่แล้วสิ แต่ที่จริงผลงานเธอไม่โอเคเลย พล็อตเธอห่วย สำนวนแย่ ทุกอย่างจืดชืด’

ของขวัญอ่านข้อความ น้ำตาไหลพราก ทุกถ้อยคำของนายคนนั้น ได้ทำลายความเชื่อมั่นในตัวเองของเธอลงอย่างไม่มีชิ้นดี

‘มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ แต่หนูก็ยังอ่านเจอรีวิวดีๆ อยู่นี่’

‘คนที่ชอบก็คงมีอยู่บ้าง พวกเด็กๆ ที่เพิ่งหัดอ่านนิยาย คนพวกนี้เขียนอะไรบ้าๆ บอๆ ก็ชอบหมดละ ส่วนคนไม่ชอบ เขาก็ขี้เกียจมานั่งรีวิวให้เสียเวลา ทุกอย่างมันวัดที่ยอดขาย ยอมรับเสียเถอะ ว่าเธอไม่เหมาะที่จะเขียนหนังสือเลย เลิกคิดจะเป็นนักเขียนได้แล้ว นี่ฉันขอพูดเปิดใจเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะ บ.ก. และก็ขอให้เราจบกันเท่านี้’

‘ไม่ต้องขอหรอกค่ะ ฉันจบกับคุณตั้งแต่คุณคิดจะทำไม่ดีกับฉันแล้ว เอาเถอะ ไหนๆ คุณก็พิมพ์หนังสือให้ฉันสองเล่ม ฉันจะถือว่าเป็นบุญคุณก็ได้ ฉันจะใช้หนี้ครั้งนี้โดยการไม่เอาเรื่องเอาราวกับคุณ ขอให้คุณไม่ต้องติดต่อหรือส่งข้อความอะไรมาอีก ถึงส่ง ฉันก็ไม่รับแล้ว ฉันจะบล็อกคุณ ลบทุกอย่างที่เคยติดต่อ ถือว่าคุณตายจากฉันไปแล้ว’

แล้วเธอก็ทำตามนั้นจริงๆ เธอลบเขาออกจากทุกช่องทางสื่อสาร และไม่เคยคิดจะสนใจข่าวคราวของผู้ชายคนนี้อีกเลย ไม่เคยสนใจข่าวคราวของสำนักพิมพ์อิรวลัย รวมถึงสำนักพิมพ์อื่นๆ ด้วย

เธอตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสือ ไม่คิดจะเขียนนิยายส่งที่ไหนอีก ก็มีบ้างบางครั้งที่พยายามนั่งปั้นตัวอักษรให้เป็นเรื่องราวลงเว็บไซต์สำหรับนักอ่านนักเขียน แต่เขียนไปได้ไม่เท่าไรก็ท้อ เพราะเขียนต่อไม่ได้อย่างใจคิด

ถ้อยคำที่ บ.ก. วิจารณ์ผลงานเธอว่าห่วยอย่างนั้น แย่อย่างนี้ งานสองเล่มที่ทำเอาสำนักพิมพ์ขาดทุนเพราะขายไม่ออก ถ้อยคำเหล่านั้นเหมือนมีดกรีดใจให้แหลกยับเยิน มันลดทอนความเชื่อมั่น และเป็นเสมือนดั่งคำสาปที่ทำให้เธอไม่สามารถเขียนหนังสือได้ตลอดไป

กาลเวลาผ่านมาหลายปี เธอจบความฝันตัวเอง คิดว่ามันเบ็ดเสร็จแน่นอนแล้ว แต่วันนี้ในคอร์สอาจารย์พี เมื่อเขาให้ผู้เข้าอบรมแต่ละคนได้เล่าความฝันของตัวเอง เธอก็ได้บอกเขาไปคร่าวๆ ว่าอยากเป็นนักเขียน และเคยมีผลงานมาแล้วสองเล่ม แต่จากนั้นก็เขียนไม่ได้อีก เพราะรู้สึกตีบตันไปหมด เมื่อได้ฟังดังนั้น เขาก็ให้กำลังใจเธอมากมาย

‘ทำไมจะเขียนอีกไม่ได้ ผมไม่เชื่อนะ ก็เหมือนคุณปั่นจักรยานเป็นแล้วนั่นแหละ ต่อให้ร้างราหรือเลิกปั่นไปนาน แต่ถ้าจับมันอีกครั้งคุณก็ทำได้อยู่ดี เพียงแต่แรกๆ อาจต้องทำความคุ้นเคยมันใหม่เท่านั้น ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นานเพราะเราเป็นอยู่แล้ว ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจต้องนับหนึ่งใหม่ แต่สำหรับคุณ ที่เคยเป็นอยู่แล้ว ถือว่าเริ่มนับใหม่ที่สิบ เป็นไงครับ ฟังแบบนี้แล้วน่าลองพยายามอีกครั้งไหม’

‘แต่ว่า...’

เธออยากจะบอกเขาเหลือเกินว่า เธอพยายามตั้งหลายครั้งแล้ว แต่เพราะความฝังใจกับอดีตที่เลวร้าย มันบั่นทอนความสามารถเธอไปหมดสิ้น หรืออาจจะเป็นเรื่องทางจิตใจที่ต้องเยียวยาด้วยการบำบัดกระมัง แต่ให้ตายเถอะ ถ้าต้องไปนั่งเล่าเรื่องนั้นให้ใครฟัง แม้กระทั่งจิตแพทย์ เธอก็ยังคิดว่าไม่จำเป็น...แค่เขียนหนังสือไม่ได้ มันจะเป็นอะไรนักหนา คนทั้งโลกก็ไม่ได้เกิดมาเพื่อจะเป็นนักเขียนสักหน่อย

‘แต่ว่าอะไรหรือครับ ทำไมเราต้องให้คำว่า ‘แต่’ มาเป็นตัวขัดขวางความสำเร็จของเราด้วยล่ะ’

‘ค่ะ อาจารย์ ขวัญจะพยายาม’

‘ดีมาก ต้องอย่างนั้นสิ จำไว้นะครับ ถ้าอยากชนะไม่มีคำว่า ‘แต่’ มีแต่คำว่า ‘ต้อง’ เท่านั้น’

แล้วพีศรุตก็ชูกำปั้นขึ้น เป็นเชิงให้กำลังใจเธอ และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ไฟในกายที่มอดมานานลุกโชนขึ้นในคืนนี้

หากแต่ว่า...หลายนาทีแล้วที่ของขวัญนั่งอยู่หน้าจออันว่างเปล่า ปล่อยใจให้ลอยฟุ้งไปกับเรื่องราวนานา เธอคิดพล็อตนิยายไว้หลายเรื่องแล้ว แต่แค่จะเอาพล็อตเรื่องใดเรื่องหนึ่งมาขยายให้เป็นรูปร่างชัดเจนขึ้นสักหน้าหรือสองหน้า เธอก็ยังทำไม่ได้

‘ผลงานเธอไม่โอเคเลย พล็อตเธอห่วย สำนวนแย่ ทุกอย่างจืดชืด’

ประโยคนั้นมันมาอีกแล้ว มันตามมาหลอนหลอก จนเธอคิดอะไรไม่ออก แม้คืนนี้ตั้งใจว่าจะทำให้ได้ แต่ในที่สุดสิ่งที่ทำก็คือปิดหน้าจอ แล้วโผเผไปนอนก่ายหน้าผากบนเตียง

“ขอโทษนะคะอาจารย์ ขวัญพยายามแล้ว แต่เขียนไม่ออก คิดอะไรไม่ออกจริงๆ”

เธอพึมพำ นอนกระสับกระส่ายอยู่พักใหญ่แล้วหลับไปพร้อมกับฝันร้ายเกือบทั้งคืน

 

 

** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

 

 

กลับหน้าหลัก        

Powered by MakeWebEasy.com