สายๆ วันต่อมา โทรศัพท์มือถือของลลีนาดังขึ้น เมื่อหญิงสาวหยิบขึ้นมาดูก็เห็นว่าเป็นเบอร์แปลกๆ จึงลังเล ไม่กล้ารับ เพราะตอนนี้ข่าวเรื่องมิจฉาชีพโทร.มาหลอกลวงมีเยอะจนน่าหวั่น แต่สุดท้ายเมื่อโทรศัพท์เจ้ากรรมยังส่งเสียงไม่หยุด ลลีนาจำต้องกดรับจนได้
“นี่เบอร์คุณนุ่นใช่ไหมครับ ผมภีมนะครับ”
คนในสายเอ่ยมาก่อน เท่านั้นลลีนาก็ค่อยโล่งอกที่ไม่ใช่มิจฉาชีพอย่างที่คิด ก่อนจะรู้สึกแปลกใจแทน ที่จู่ๆ ภีมก็โทร.มา เขารู้เบอร์โทรศัพท์เธอได้ยังไง
“ผมโทร.ไปถามคุณลินที่ร้านมาน่ะครับ พอดีวันนั้นลืมขอเบอร์คุณนุ่นไว้เผื่อจะแจ้งเรื่องรถว่าซ่อมเสร็จเมื่อไหร่ นี่ก็เลยโทร.มาเพื่อขออนุญาตให้เบอร์คุณนุ่นกับช่างไว้นะครับ คุณนุ่นไม่ว่าใช่ไหมครับ”
“อ๋อ ไม่ว่าค่ะ คุณภีมให้เบอร์ไว้กับช่างได้เลย ขอบคุณนะคะที่เป็นธุระให้ตั้งหลายเรื่อง ยังไงถ้าเสร็จแล้วช่างก็โทร.มาได้เลยนะคะ” ลลีนาเอ่ยอย่างนั้นโดยไม่ได้คิดอะไร แต่ดูเหมือนเขาจะคิดไปว่าเธอกำลังจะตัดบทถึงได้เอ่ยออกมาว่า
“เอ่อ นี่ผมรบกวนเวลาทำงานของคุณนุ่นหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ ไม่ได้รบกวนอะไร ฉันทำงานที่บ้านน่ะค่ะ เป็นพวกงานแปลหนังสือ ไม่ได้ทำงานที่บริษัทอย่างพนักงานออฟฟิศที่เวลางานเป๊ะๆ แค่ต้องทำให้เสร็จตามกำหนดเข้าโรงพิมพ์กับลงขายในเว็บฯ เท่านั้นเองค่ะ”
“อ๋อ ครับ” เขาพูดมาแค่นั้นแล้วก็เงียบไป จนลลีนาต้องเอ่ยถามต่อเสียเอง
“มีเรื่องอะไรอีกหรือเปล่าคะ”
“อะ ไม่มีแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นผมไม่กวนคุณนุ่นแล้วครับ เจอกันคืนวันเสาร์นะครับ”
“ค่ะ ขอบคุณนะคะ” ลลีนาเอ่ยขอบคุณเขาแล้วก็กดวางสาย
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอคุยกับภีมโดยไม่เห็นหน้า ได้ฟังแต่เสียงเขา ลลีนารู้สึกว่าภีมเป็นคนที่มีเสียงเพราะและทุ้มมาก หากร้องเพลงก็คงจะเพราะไม่แพ้ใคร เธอแปลนิยายมาไม่รู้กี่เล่มต่อกี่เล่มแล้วและใช้คำว่าเสียงทุ้มนุ่มหูมาก็หลายครั้ง แต่เพิ่งจะเคยฟังผู้ชายที่มีเสียงทุ้มๆ มาพูดให้ได้ยินข้างหูก็วันนี้เอง ในนิยายเวลาบรรดานางเอกทั้งหลายอยู่ในฉากแบบนี้มักรู้สึกเคลิบเคลิ้ม อบอุ่นในหัวใจ แต่สำหรับลลีนาเมื่อครู่รู้สึกแค่ว่าก็เพราะดีเท่านั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าในชีวิตจริงของเธอจะได้มีความรู้สึกแบบเดียวกับนางเอกเหล่านั้นบ้างหรือเปล่า ความรู้สึกเวลามีคนรักมาพูดคุยอยู่ใกล้ๆ มาทำให้หัวใจอบอุ่น
คิดอะไรนี่ ฟุ้งซ่านแล้วนะยายนุ่น
ลลีนาจำต้องรีบเบรกความคิดตัวเองไว้เพียงแค่นั้น สะบัดหน้าเบาๆ เป็นการเรียกสติให้กลับมาอยู่กับตัว ก่อนจะพุ่งความสนใจไปที่งานตรงหน้า แล้วก็ถ่ายทอดสิ่งที่อยู่ในต้นฉบับภาษาอังกฤษออกมาเป็นภาษาไทยรัวเร็วผ่านแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กอย่างคนชำนาญงาน
----------
คืนวันเสาร์ ซึ่งเป็นคืนที่มีการแสดงคอนเสิร์ตรอบสัปดาห์ของผู้เข้าแข่งขัน Thailand The Idol ลลีนามาถึงหน้างานก่อนคอนเสิร์ตจะเริ่มเหมือนเคย เธอชอบมาดูสีสันของกองเชียร์กลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะสาวๆ ที่ต่างรวมกลุ่มกันทำป้ายไฟเพื่อเชียร์ผู้เข้าแข่งขันที่ตัวเองชื่นชอบ ส่งเสียงเฮฮาหัวเราะพูดคุยกันสนุกสนาน บางกลุ่มที่ลงทุนแต่งตัวเหมือนกันทั้งกลุ่มจัดเตรียมพร็อปกันมาเพียบ ก็จะเป็นที่สนใจของทีมงานขอถ่ายสัมภาษณ์เพื่อตัดไปใส่ในเทปรายการที่จะออนแอร์อีกครั้งหลังการแข่งขันแต่ละสัปดาห์เสร็จ หรือไม่บางครั้งก็จะเข้าไปสัมภาษณ์กันสดๆ เลยก่อนจะตัดภาพเข้าสู่การแข่งขันก็มี ดังนั้นการทำงานเป็นพิธีกรภาคสนามเช่นภีมจะต้องรวดเร็ว ฉับไว และค่อนข้างยุ่งเพราะต้องรักษาเวลาอย่างเคร่งครัด แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีสีหน้าสนุกสนาน ร่าเริง ไม่มีท่าทีเคร่งเครียดให้เห็น เช่นเดียวกับเวลานี้ที่ลลีนาเห็นเขากำลังยืนคุยอยู่กับทีมงานเพื่อซักซ้อมกับแฟนคลับกลุ่มหนึ่งที่จะถูกสัมภาษณ์ก่อนเข้ารายการ
“พี่นุ่น”
เสียงนภสรเรียกเธอมาแต่ไกล เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก่อนที่ลลีนาจะหันไปมองคนเรียก เธอก็เห็นว่าภีมหันมามองเธอพอดีแล้วเขาก็ส่งยิ้มมาให้ เป็นยิ้มที่เห็นลักยิ้มข้างแก้มสองข้างของเขาอย่างชัดเจน ตอนนั้นลลีนารู้สึกว่าใบหน้าของเขาดูสว่างไสวเหมือนกับชื่อรายการขบวนการอาทิตย์ยิ้มแฉ่งที่เขาเป็นพิธีกรอยู่เลย ไม่เพียงแค่ส่งยิ้มเขายังโบกมือทักทายเธอด้วย และนั่นก็ทำให้กลุ่มสาวๆ ที่กำลังยืนรอให้สัมภาษณ์หันมามองเธอเป็นตาเดียว ทำเอาลลีนาต้องรีบเดินหลบแทรกผ่านกลุ่มคนไปหานภสรทันที
“พี่นุ่น กินอะไรมาหรือยังคะ สรเอาขนมปังมาฝากด้วยนะ เราไปนั่งกินกันตรงนั้นดีไหม หรือว่าพี่จะยืนดูพี่ภีมเขาสัมภาษณ์พวกแฟนคลับก่อน”
หากเป็นทุกครั้งเธอก็คงจะยืนดูเขาสัมภาษณ์ต่อหรอก เพราะปกติเธอก็จะยืนรวมๆ อยู่กับกลุ่มแฟนคลับทั้งหลาย มองทีมงาน มองภีม มองนักร้องหรือเซเลบที่ได้รับเชิญมางานนี้ให้สัมภาษณ์หน้าแบ็กดร็อปหรือป้ายสปอนเซอร์หน้างาน แต่เมื่อครู่นี้แค่ภีมหันมายิ้มทักทายเธอเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็พาให้คนอื่นๆ มองมาจนเธอทำตัวไม่ถูกแล้ว ลลีนาไม่ชอบเป็นจุดสนใจของใคร วันนี้จึงเป็นครั้งแรกที่เธอยอมเดินไปนั่งกินขนมกับนภสรดื้อๆ เสียอย่างนั้น
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **