ข้อความทั้งสองด้านของป้ายพลาสติกตั้งโต๊ะขนาดเล็กเขียนว่า
‘รับถ่ายภาพ รีทัชรูปสินค้า ออกแบบโลโก้สินค้า ออกแบบภาพโฆษณาบนโซเชียล พิมพ์งานสี-ขาวดำ’
ด้านล่างข้อความเป็นชื่อ ‘สุดเขต ธาดาศิริ’ พร้อมเบอร์โทรติดต่อ ไลน์ และอีเมล
ชายหนุ่มมองแผ่นป้ายที่เขาออกแบบได้ชวนสะดุดตานี้อย่างพอใจ นอกเหนือจากการโฆษณาในเพจของตัวเองแล้ว วันนี้เขาจะนำแผ่นโฆษณานี้ไปวางในพื้นที่เล็กๆ ของร้านกาแฟ กับร้านขนมที่อยู่ในปั๊มน้ำมันที่ถนนใหญ่ ตรงข้ามกับปากทางเข้าหมู่บ้าน เขาไปผูกสัมพันธ์กับสองร้านนั้นแล้ว และทางร้านไม่มีอะไรขัดข้องที่จะเจียดพื้นที่อันน้อยนิดตรงเคาน์เตอร์ให้
ช่วงนี้บริษัทที่เขาสังกัด เริ่มมีงานน้อยลงไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบบูท ตกแต่งร้านค้า ดิสเพลย์ หรืองานอีเวนต์ต่างๆ ปกติงานเหล่านั้น แม้ไม่ได้นั่งประจำกินเงินเดือน แต่สุดเขตก็มักมีส่วนร่วมด้วยแทบทุกครั้ง เป็นโชคดีของเขาที่เพื่อนสนิทที่เคยเรียนมาด้วยกันเป็นเจ้าของบริษัท ชายหนุ่มจึงมีอิสระที่จะทำงานตามแบบที่ตัวเองต้องการได้
เขาเป็นคนที่มีความสุขกับการทำงานสารพัดอย่าง แต่ไม่เคยมีความฝันอันใหญ่ยิ่งแบบคนอื่นๆ เขารักชีวิตอิสระที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบ แค่พอมีเงินเลี้ยงตัว แต่ไม่คิดฝันไกลไปถึงการเป็นเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ แบบเพื่อน และเพราะนิสัยเป็นคนอินดี้แบบนี้เอง เขาจึงไม่อยากคบหากับสาวคนไหนเป็นพิเศษ
สุดเขตรู้ดี ผู้หญิงส่วนใหญ่ฝันถึงชีวิตที่มั่นคง อนาคตที่สวยงาม มีสามีที่ฐานะดี มีลูกที่น่ารัก เรียนโรงเรียนดีๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เคยเป็นฝันของเขา เขาชอบชีวิตที่สงบ รักธรรมชาติ ถ้ามีเงินมากพอ เขาไม่อยากเอาไปขอสาวใดแต่งงาน แต่อยากออกไปเที่ยวรอบโลก ใช้ชีวิตเดี่ยวๆ ให้มีความสุข
หรือเพราะเขาไม่เคยเจอใครที่รู้สึกรักอย่างจริงๆ จังๆ?
บางครั้งสุดเขตก็ถามตัวเองแบบนั้น ปีนี้เขาอายุยี่สิบแปดแล้ว ถ้าพบคนที่ใช่ บางทีความคิดอาจเปลี่ยนไปก็ได้ แต่มันก็คงเหนื่อยมากจริงๆ หากต้องมาใช้ชีวิตเหนื่อยยากเพื่อครอบครัวที่ดีงามตามแบบฉบับที่ใครๆ เขาเป็นกัน
สุดเขตคิดถึงชีวิตที่ยังดูเหมือนจะเลื่อนลอยของตัวเองแล้ว ก็อดนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายไม่ได้ เขารับยายสาวบ้านต้นซอยมา ทำให้รู้ว่าเธอเองเลื่อนลอยกว่าเขาเสียอีก เขาเองยังมีงานทำอยู่บ้าง บางช่วงถึงกับมีแบบหามรุ่งหามค่ำเอาเลย รายได้แม้ไม่สม่ำเสมอ แต่ก็ดีกว่าคนมีงานประจำอีกหลายคน ถ้าไม่นับว่าต้องมีภาระส่งเงินไปให้บิดามารดาที่อยู่ต่างจังหวัดเป็นครั้งคราวแล้ว คนโสดอย่างเขาก็คงมีเงินเก็บในธนาคารมากพอดู
แต่ราย...ยายขวัญ ขวัญอะไรนะ ขวัญตาหรือขวัญใจ ฟังเธอพูดว่าว่างงานมาเกือบสองปีแล้วก็น่าเห็นใจ ดูเธอเครียดๆ แต่ก็มีไมตรีอยู่มาก เขาชวนขึ้นรถ คิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าเธอจะขึ้นมาง่ายๆ พร้อมพูด ‘ขอบคุณค่ะพี่เขต’ ซึ่งทำให้เขาตื้นตันเป็นบ้า เพราะเธอรู้จักชื่อเขาด้วยทั้งๆ ที่ไม่เคยคุยกันสักคำ
สุดเขตรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดเกี่ยวกับตัวผู้หญิงคนนี้มานาน เคยเห็นเธอเดินไปเดินมาอยู่ในซอยนี้ตั้งแต่เด็กๆ ยังคิดอยู่ว่าลูกสาวคนโตบ้านต้นซอยนั้นผิวขาวๆ เหมือนสาวญี่ปุ่นหรือเกาหลี ดูแตกต่างจากน้องชายหญิงอีกสองคนที่ดูผิวคล้ำ หน้าตาออกเป็นไทยแท้ แต่ท่าทางของขวัญเหมือนคนไว้ตัว ท่าเดิน ก้าวสวบๆ ก้มงุดๆ ไม่เคยเงยหน้ายิ้มแย้มกับใคร แต่หากจะพูดไป บ้านนั้นก็ไว้ตัวกันทั้งบ้าน ทำให้เขาไม่อยากไปสุงสิงด้วย ทั้งๆ ที่เขาเองเป็นคนมีมนุษยสัมพันธ์ค่อนข้างดี ในซอยนี้ เขาเข้านอกออกในบ้านอื่นได้หมด ยกเว้นบ้านหลังแรกต้นซอย
ทว่าวันนี้ เขาได้เห็นอีกมุมหนึ่งของเธอ ซึ่งน่ารักผิดจากที่เขาคาดไว้ เหนืออื่นใด ดูเธอไม่ได้มีความสุขกับชีวิตสักเท่าใดนัก เธอเหมือนคนไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน ไม่มีใครสักคน ท่าทางการยืนรอรถที่กระวนกระวายผสมความหมองหม่นที่ฉายออกมา ทำไมเขารู้สึกเหมือนได้เจอผู้หญิงที่กำลังถูกทอดทิ้งให้เดียวดายกลางเมืองใหญ่...หรือเขามีอารมณ์ศิลปินมากไป
และด้วยเหตุผลทั้งหลายนี้เอง เขาจึงได้เอ่ยปากบอกไปว่า จะไปรับเธอในวันพรุ่งนี้อีกครั้ง ทั้งที่จริงๆ แล้วก็ไม่ได้มีธุระที่จะต้องผ่านไปแบบวันนี้หรอก ถ้าไปก็คือตั้งใจจะไปรับเธอโดยตรง ช่วงนี้เขาเองก็ว่างๆ อยู่แล้ว ผูกไมตรีกับเพื่อนบ้านที่ไร้พิษสงสักคน ก็น่าจะดีกว่าอยู่เฉยๆ มิใช่หรือ
----------
วันที่สองของคอร์สพัฒนาตนเอง ของขวัญแต่งตัวประณีตขึ้น จากที่เข้าคลาสแบบหน้าสดๆ วันนี้เธอแต่งหน้าให้ดูมีสีสันขึ้น ซึ่งเมื่อปาก ตา และแก้มถูกแต่งแต้ม ทำให้คนแต่งเองก็ยังรู้สึกว่าตัวเองสวยเด่นขึ้นทันตา ผมเผ้าที่เคยรวบไว้หลวมๆ ถูกปล่อยยาวสลวยถึงกลางหลัง เสื้อผ้าก็เป็นชุดเสื้อกับกระโปรงที่พอดีกับทรวดทรง
รวมความแล้ววันนี้ เธอตั้งใจแต่งเนื้อแต่งตัวให้ดูดีเพื่อ...ส่วนหนึ่งก็เพื่อตัวเองจะได้ไม่รู้สึกด้อยกว่าคนอื่นๆ ที่ร่วมคลาสมากนัก อีกส่วนหนึ่งก็...เพื่อพีศรุต
หลังจากที่เขาเข้ามาทักทายพูดคุยกับเธอเมื่อวาน ของขวัญก็รู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองขึ้นอีกหน่อย อย่างน้อยๆ เธอก็อยากแต่งตัวให้ดูดีและเหมาะสมให้เขาเห็น
จริงอยู่ อาจารย์พีไม่ได้คิดอะไรเกินไปกว่าเธอคือนักเรียนคนหนึ่ง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ใช่ไหมว่า เธอก็อยู่ในสายตาเขาแล้ว และค่อนข้างพิเศษกว่าคนอื่นด้วย เพราะเขาก็อุตส่าห์ตามมาพูดคุยถึงหน้าลิฟต์
และวันนี้ จากที่นั่งแถวหลังสุด เธอก็ขยับมานั่งแถวกลางๆ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเธอคิดเข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า เพราะเหมือนเห็นอาจารย์หนุ่มยิ้มให้ขณะบรรยาย แต่เอ...หรือเขายิ้มให้ทุกคน ของขวัญก็ไม่แน่ใจ รู้สึกว่าตัวเองชักฟุ้งซ่านจริงๆ นั่นแหละ เธอพยายามตั้งสมาธิฟังเขาบรรยาย
“ความฉลาดไม่ใช่สิ่งที่จำเป็น แต่ความมุ่งมั่นต่างหากที่จำเป็น ถ้าพวกคุณอยากประสบความสำเร็จ อย่าไปโทษสมองตัวเองว่าฉลาดไม่พอ แต่ให้ถามตัวเองว่าคุณมุ่งมั่นกับมันพอหรือเปล่า เพราะคนฉลาดมากมายที่ผมพบเห็น ล้วนแล้วแต่ทำงานอย่างดี ให้ออฟฟิศรุ่งเรือง ในขณะที่ตัวเองก็ได้เงินเดือนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่คนที่ใครๆ คิดว่า ฉลาดไม่เท่า เรียนก็น้อย กลับกลายเป็นเศรษฐีร้อยล้านพันล้านมากมาย ดังนั้นความฉลาดสำหรับผมมันไม่จำเป็น แต่ความมุ่งมั่นนี่สิ คือสิ่งที่เห็นได้ง่ายกว่า วันนี้ผมขอถามพวกคุณหน่อยนะครับว่า ใครคิดว่าตัวเองฉลาดบ้าง ยกมือขึ้น”
เงียบกริบ...ไม่มีคนยกมือ
“แล้วใครคิดว่าตัวเองมีความมุ่งมั่นบ้าง”
มีคนยกมืออยู่หลายคน เกือบทั้งห้องก็ว่าได้ ยกเว้นของขวัญ
“เห็นไหมครับ ความมุ่งมั่นคือสิ่งที่เราเชื่อได้ว่าเรามี เราจึงพัฒนามันได้ ส่วนความฉลาด เป็นสิ่งที่เราเองไม่แน่ใจ มีแต่คนอื่นคิดให้เรา ซึ่งไม่รู้ว่าจริงหรือไม่จริง อ้า...ตะกี้มีคนไม่ยกมือทั้งสองอย่าง หมายถึงไม่มีทั้งความฉลาดและความมุ่งมั่นงั้นหรือครับ”
ของขวัญก้มหน้าเมื่อรู้สึกว่าเธอกำลังตกเป็นเป้า และก็จริง ไลฟ์โค้ชเอ่ยถึงเธอในทันใด
“คุณของขวัญ ทำไมคุณถึงคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรที่ดีๆ ในตัวเลย”
ทุกคนหันหน้ามามองเธอเป็นตาเดียว ทำเอาหญิงสาวแทบอยากมุดแผ่นดินหนี คำถามเขาก็ตอบแสนยาก
“ลองบอกสิ่งที่คิดว่าตัวเองมีดีให้ผมฟังสักข้อได้ไหมครับ”
“น่าจะ...” ของขวัญยิ่งประหม่า เมื่อเจอทั้งคำพูดที่เร่งรัดและแววตาคาดคั้นของไลฟ์โค้ช “น่าจะใจเย็นมั้ง...คะ”
“ความใจเย็น ผมก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของคนเรา แต่มันก็มีเส้นบางๆ ระหว่างความเฉื่อยด้วย เราต้องคิดให้ได้ว่าควรมีความใจเย็นแค่ไหนที่ไม่ใช่เฉื่อยแฉะ ที่แน่ๆ เราต้องเป็นคนเชื่อมั่นในตัวเองนะครับ คุณของขวัญต้องเพิ่มตรงนี้ ความกล้าที่มาแบบคนใจเย็น จะพาให้เราไปถึงจุดหมายได้”
“ขอบคุณค่ะอาจารย์”
เธอตอบพร้อมรอยยิ้ม ความประหม่าหายไป ความใส่ใจของเขาก็ทำให้เธอรู้สึกเหมือนตัวจะลอย
ช่วงบ่ายไปจนใกล้เวลาเลิกคลาส ไลฟ์โค้ชผู้ทุ่มเทก็ยังไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด ยังคงมีกิจกรรมต่อเนื่องกันในกลุ่ม ของขวัญเริ่มกระวนกระวายอีกแล้ว คราวนี้ไม่ได้กลัวว่าจะไปไม่ทันหุงหาอาหาร เพราะยังมีเวลาถมเถกว่าจะถึงเวลากลับบ้านของผู้ปกครอง
หากแต่หญิงสาวเริ่มนึกถึงคนที่อาสาจะมารับ สุดเขตบอกว่าเขาตรงเวลาเป๊ะ ที่จริงเธอก็บอกเขาแล้วว่าถ้าเธอออกไปไม่ทัน ให้เขาไปได้เลย แต่เธอก็ยังกังวลอยู่ดี เมื่อคิดว่าแค่ครั้งแรกที่เพื่อนบ้านตั้งใจจะมีไมตรี เธอก็ไม่สามารถสนองไมตรีนั้นได้แล้ว
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **