หนึ่งปีเต็มๆ หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ‘ของขวัญ โสภากุล’ ยังคงจมอยู่กับความว่างเปล่าของชีวิต เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวอีกนับล้านที่กลายเป็นบัณฑิตเตะฝุ่นในยุคที่กิจการต่างๆ พากันปิดตัวมากมาย สภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในเวลานี้ ไม่เอื้อให้คนที่มีความสามารถระดับ ‘กลางๆ’ ที่จบจากมหาวิทยาลัยระดับ ‘กลางๆ’ อย่างของขวัญได้มีงานทำเอาเสียเลย
ความฝันของเธอคือเป็นนักเขียน แม้เคยมีผลงานออกมาเป็นเล่มถึงสองครั้ง แต่หลังจากที่ประสบเหตุการณ์ร้ายๆ จนเกือบเอาตัวไม่รอดกับบรรณาธิการสำนักพิมพ์แห่งนั้น เธอก็หยุดความฝันของตัวเองลงไป เพราะไม่สามารถที่จะนั่งลงเขียนโดยที่สภาพจิตใจเป็นปกติได้อีก ทุกครั้งที่เริ่มทำงาน ภาพในอดีตก็ย้อนมาหลอนหลอกอยู่ร่ำไป
เธอหยิบหนังสือที่หน้าปกเขียนว่า ‘ไม่เกิน ๖๐ วัน ฝันจะเป็นจริง’ ไปนั่งอ่านที่ระเบียงหน้าบ้าน บ้านที่ของขวัญเติบโตมานี้เป็นหนึ่งในหมู่บ้านสวัสดิการข้าราชการที่อยู่ชานเมืองสุดเขตแดนกรุงเทพฯ บ้านของเธออยู่หลังแรกสุดของซอยที่สาม ถัดไปก็มีบ้านเดี่ยวอื่นๆ สองชั้นบ้าง ชั้นเดียวบ้าง ราวๆ สิบหลัง เรียงไปจนสุดซอย
หญิงสาวเงยหน้ารับลมเย็นๆ ที่โชยวูบเข้ามา ก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสืออย่างจริงจัง แต่อ่านไปได้ไม่กี่หน้าก็วาง แล้วหยิบสมาร์ตโฟนคู่ใจมาเปิดดูคลิปของคนเขียนแทน
ช่วงนี้เธอให้ความสนใจกับ ‘อาจารย์พีศรุต รชานันท์’ เป็นพิเศษ เขาเป็นนักพูด นักสร้างแรงบันดาลใจ นักเขียน เป็นอาจารย์สอนหนังสือ เป็นนักธุรกิจ และเป็นอีกหลายๆ อย่างจนไม่น่าเชื่อว่าคนคนหนึ่งจะมีพลังสร้างสรรค์และเก่งกาจขนาดนี้
ไม่เท่านั้น วัยเขาเพิ่งย่างสามสิบ รูปร่างหน้าตาดี ฐานะ ชาติตระกูลดี เป็นคนที่มีพร้อมทุกอย่าง ราวกับว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นคำนิยามให้กับคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’
และเธอยังไม่อยากจะเชื่ออีกนั่นแหละว่า สถานภาพของเขาคือ ‘โสด’ เขาไม่เคยมีแม้กระทั่งคนรักหรือคู่ควงที่ควงคู่กันออกสื่อ ของขวัญเคยดูรายการทอล์กโชว์รายการหนึ่งที่เชิญพีศรุต ซึ่งใครๆ เรียกเขาว่า ‘อาจารย์พี’ มาเป็นแขกรับเชิญ ช่วงหนึ่งเขาถูกพิธีกรที่ชื่อมดตะนอย ซึ่งมีท่าทางกระตุ้งกระติ้งหน่อยถามว่า
‘ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายเพอร์เฟ็กต์อย่างอาจารย์พีจะเป็นโสด อาจารย์คงเลือกมากสิฮะ เงื่อนไขเยอะเกินไปหรือเปล่า นี่ถามแทนสาวๆ ทั้งประเทศละกันฮะ’
‘ไม่หรอกครับ ไม่ได้ตั้งสเป็กอะไรเลย ผมว่าถ้าถึงเวลา ถ้าได้เจอใครที่ใช่ มันก็คลิกเอง แต่ตอนนี้ส่วนหนึ่งคือผมไม่มีเวลาให้ใครด้วยละ งานเยอะครับ’
‘เอาเป็นว่าได้ข้อสรุปนะฮะคุณผู้ชม’ มดตะนอยหันหน้าหากล้องและผู้ชมทั้งในห้องส่งและทางบ้าน ‘อาจารย์พีของเรายังโสดสนิท สาวๆ ทั้งหลายยังมีโอกาสนะฮะ ใครอยากเจออาจารย์ ก็ไปสมัครเข้าคอร์สอบรมได้เลย’ พิธีกรพูดกลั้วหัวเราะ และไม่ลืมช่วยโฆษณาคอร์สพัฒนาตัวเองให้แขกรับเชิญอีกเล็กน้อย
รายการจบเพียงเท่านั้น เรตติ้งของพีศรุตก็ยิ่งกระฉูด แฮชแท็ก ‘อาจารย์พีโสดสนิท’ ติดเทรนด์ในทวิตเตอร์ทันที
ของขวัญยอมรับว่าเธอปลื้มพีศรุต เช่นที่ใครๆ ก็ปลื้มเขา ทุกคืนเธอจะนอนฟังรายการเขาทางพอดแคสต์บ้าง ฟังช่องยูทูบของเขาบ้าง ฟังแล้วรู้สึกมีพลัง มีกำลังใจฮึดสู้ เธอฝันจะเป็นนักเขียนอีกสักครั้ง หรือไม่ก็ได้ทำงานประจำที่เงินเดือนสูงๆ และเป็นงานที่ตรงกับความชอบ
เงินที่เก็บหอมรอมริบไว้หลายปีก็พอจะมี เธออยากไปเข้าคอร์สอบรมเรื่องงานเขียน หรือเรื่องบุคลิกความเชื่อมั่นต่างๆ กับอาจารย์พี แทนที่วันๆ จะเอาแต่รอคอยโชคชะตา หรือทั้งเป็นเสมือนคนรับใช้ ทำกับข้าว ซักเสื้อผ้า ทำความสะอาด ดูแลบ้านช่องทุกอย่างให้สมาชิกทุกคนในครอบครัว
บางครั้งของขวัญก็นึกท้อใจในชีวิตเด็กกำพร้าที่ถูกขอมาเลี้ยง ตอนนั้นผู้ปกครองก็ดีใจที่ได้เด็กผู้หญิงตาโตแก้มป่องมาเป็นลูก แต่แล้วไม่นานทั้งคู่ก็มีลูกของตัวเองถึงสองคน ครอบครัวข้าราชการที่เงินเดือนไม่มากนัก ต้องรับภาระเลี้ยงดูเด็กถึงสามคน เธอจึงกลายเป็นส่วนเกินที่ถูกเปรยขึ้นมาบ่อยๆ ว่า ‘ไม่น่าไปขอมาเลย ขอมาแล้ว จะเอาไปคืนก็ไม่ได้’
ยิ่งเธอเรียนจบแล้วตกงานอยู่แบบนี้ด้วยแล้ว บิดามารดาก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอคือตัวภาระ แม้ทั้งคู่ไม่เคยพูดออกมาตรงๆ แต่การที่ไม่ถูกรักและใส่ใจ ใครๆ ก็ย่อมรู้สึกได้
----------
‘สถาบันพัฒนาตนเองเพื่อความสำเร็จ MY WAY By P.’ ตั้งอยู่บนชั้นที่ยี่สิบของ ‘กรีนแคร์ ทาวเวอร์’ อาคารสำนักงานรวมถึงคอนโดมิเนียมที่สูงถึงสามสิบสี่ชั้น
คอร์สเรียนที่ ‘พีศรุต รชานันท์’ เจ้าของสถาบันฯ กำลังโหมโปรโมต อยู่ มีชื่อเดียวกับหนังสือเล่มล่าสุดของเขา ‘ไม่เกิน ๖๐ วัน ฝันจะเป็นจริง’ คอร์สนี้มุ่งให้ผู้ที่เข้ารับการอบรมขจัดความกลัวในจิตใจอย่างเร่งด่วน แล้วก้าวเดินไปข้างหน้าในงานที่ตัวเองหวัง
วันนี้มีผู้เข้าอบรมในคลาสราวๆ สามสิบคน เกินกว่าครึ่งที่กำลังนั่งฟังอาจารย์พีตาแป๋วล้วนเป็นสาวๆ ที่ต่างพากันมานั่งแถวหน้า เพื่อจะได้ฟังและมองหน้าไลฟ์โค้ชชัดๆ แต่ก็มีอยู่คนที่ปลีกตัวไปนั่งห่างจากคนอื่นๆ อยู่แถวหลัง พีศรุตจึงเทความสนใจไปที่เธอเป็นพิเศษ
เธอเป็นหญิงสาวรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาวอมชมพู แต่การแต่งเนื้อแต่งตัวดูธรรมดาจนติดปอนๆ ใบหน้าไม่มีการแต่งเติมอะไร กระทั่งปากที่ควรจะมีสีสันของลิปสติกอยู่บ้างก็ไม่มี ผมตรงยาวสีน้ำตาลอ่อนของเธอถูกรวบไว้ข้างหลังแบบไม่อินังขังขอบ
ช่วงเช้าพีศรุตก็เห็นเธอตั้งใจฟังเขาเหมือนคนอื่นๆ แต่พอเข้าช่วงบ่าย เธอมีท่าทีกระสับกระส่าย ตามองนาฬิกาข้อมืออยู่เป็นระยะ เขานึกสงสัย เธอจะรีบไปไหนกันนะ หรือการพูดของเขาในวันนี้มันน่าเบื่อ...เป็นไปไม่ได้
เมื่อเลิกคลาส พีศรุตเห็นเธอรีบเดินออกไป เขาจึงเร่งสาวเท้าก้าวตามเธอไปทันที่หน้าลิฟต์ พร้อมร้องเรียก
“เดี๋ยวครับ คุณของขวัญ”
คนถูกเรียกสะดุ้งสุดตัว พีศรุตเข้ามายืนประชิดตัวเธอ แล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน
“รีบไปไหนครับ อยู่คุยสักแป๊บได้ไหม อะ...เดี๋ยวค่อยลงลิฟต์ มาคุยกันก่อน”
พูดแล้วเขาก็แตะข้อศอกเธอเบาๆ อย่างสุภาพ ให้เธอเดินห่างประตูลิฟต์ไปคุยกับเขาที่จุดอื่นใกล้ๆ นั้น
ของขวัญเงอะงะ เหงื่อเหมือนจะซึมๆ บริเวณหน้าผาก นี่อาจารย์พีผู้แสนโด่งดัง ผู้มีเวลาเป็นเงินเป็นทองมาพูดกับเธอเป็นการส่วนตัวหรือนี่ คิดไม่ถึงว่าเขาจะจำชื่อเธอได้ เพียงแค่แนะนำตัวครั้งเดียวในคลาสเท่านั้น
“ว่าไงครับ ทำไมท่าทางเร่งรีบจัง คนอื่นเขายังคุยกันอยู่ในห้องเลย”
“อ๋อ เผอิญที่บ้าน เอ่อ คุณแม่เขาไลน์มาบอกว่าวันนี้จะกลับบ้านเร็วน่ะค่ะ ก็เลย...”
“คุณก็เลยจะรีบไปเปิดประตูบ้านให้แม่อย่างนั้นหรือครับ” พีศรุตพูดแล้วหัวเราะ “อะไรกันครับเด็กน้อย คุณเสียเงินมาอบรมแล้ว ก็ต้องมีเวลาให้กับมันสิครับ ผมเห็นคุณไม่ค่อยตั้งใจเท่าไรนะ ดูไม่มีสมาธิเหมือนคนอื่นๆ ทำให้ผมต้องเดินตามมาถามว่าเกิดอะไรขึ้น หรือผมบรรยายน่าเบื่อไปครับ”
ของขวัญรีบส่ายหน้า “เปล่าค่ะ อาจารย์บรรยายดีมากค่ะ แต่...” แล้วเธอก็เงียบไปอีก สองมือที่ประสานกัน บีบเข้าหากันแน่น
“อืม...ผมดูว่าคุณมีปัญหาที่ต้องแก้จริงๆ ท่าทางคุณไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองเลย”
ของขวัญยังยืนก้มหน้า ใจอยากบอกว่าเธอไม่ได้มีท่าทางแบบนี้กับทุกคนหรอกนะ แต่เธอกำลังประหม่า เพราะเขาคือเทพบุตรที่เธอคลั่งไคล้และบูชาต่างหาก และบัดนี้ เขาเหมือนกับเทพบุตรจากฟากฟ้าที่เหาะลงมาหาคนธรรมดาอย่างเธอ เป็นใคร ใครจะไม่สั่น
“เอาละ คุณคงอยากกลับบ้านแล้ว ผมคงไม่ถามอะไรต่อ แต่พรุ่งนี้ผมขอได้ไหมครับ ขอให้คุณตั้งใจฟัง และปิดโทรศัพท์ด้วย จะได้ไม่ต้องมีไลน์มีอะไรมารบกวนสมาธิอีก”
เธอเงยหน้าขึ้นตอบ “ได้ค่ะ ขวัญต้องขอโทษด้วยนะคะที่วันนี้ลืมปิด”
พีศรุตผละไปแล้ว ของขวัญก็ยังรู้สึกระทึกใจไม่คลาย คิดไม่ถึงว่าเขาจะสนใจเธอจนถึงกับตามมาถามไถ่เป็นการส่วนตัว นึกโทษตัวเองที่มีทีท่ากระวนกระวายให้เขาเห็น แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ ตอนอยู่ในคลาสมารดาไลน์มาบอกว่าวันนี้จะกลับถึงบ้านเร็วกว่าปกติ ให้เธอช่วยเปิดแอร์รอกับให้เตรียมของว่างรอไว้ เธอเลยมัวแต่กังวลว่าจะต้องไปให้ถึงบ้านก่อนสี่โมงเย็น ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าอาจารย์ยังไม่รีบบรรยายให้จบ เธอก็คงจะต้องขออนุญาตออกมาก่อน นี่นับว่าโชคดีที่เขาค่อนข้างรักษาเวลา ไม่พูดเกินเวลาไปแม้แต่นาทีเดียว
การเข้าคอร์สถึงห้าวันครั้งนี้ เธออุตส่าห์ดูแล้วดูอีกว่าเป็นวันจันทร์ถึงศุกร์ ไม่ติดวันหยุดที่ครอบครัวพร้อมหน้ากันที่บ้าน แล้วจะให้ความแตกเสียก่อนได้อย่างไรล่ะ เธอว่างงานแต่มีเงินหมื่นมาอบรม ถ้าบิดามารดารู้เข้า ไม่อยากคิดว่าจะโดนหนักแค่ไหน เผลอๆ อาจจะโดนค้นบัญชีเพื่อดูเงินเก็บส่วนตัวก็ได้ แค่ค้นไม่ว่า เธอกลัวว่าจะถูกริบนี่สิ นี่แหละปัญหา
ถึงแม้ตึกที่มาอบรมจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก แต่ในเวลาจวนเจียนแบบนี้ ของขวัญไม่อยากรอรถเมล์ กำลังจะยกมือขึ้นโบกเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง ก็บังเอิญมีรถซิตีคาร์สีเขียวสดคันหนึ่งปาดหน้าแท็กซี่ แล่นมาจอดตรงหน้า พร้อมกับลดกระจกลง เจ้าของรถชะโงกหน้ามาจากฟากคนขับ ส่งยิ้มและส่งเสียงมา
“กลับบ้านหรือ มา...ขึ้นมาเลย เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
คนถูกเชิญไม่คิดให้เสียเวลา รีบเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งแล้วเอ่ย “ขอบคุณค่ะพี่เขต”
หากเป็นคนอื่นหญิงสาวอาจลังเล แต่สำหรับชายหนุ่มคนนี้ เธอเห็นเขามานาน บ้านเขาอยู่ท้ายซอย ห่างจากหลังของเธอไม่ไกล รถคันนี้ก็เห็นมันผ่านไปผ่านมาหน้าบ้านอยู่ทุกวัน
ก็ไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนบ้านที่เห็นๆ กันอยู่นี้ เธอไม่เคยรู้จักหรือพูดคุยกับเขาเลย มีสักครั้งสองครั้งกระมังที่เคยเดินสวนกันในซอย เขายิ้มให้แล้วเธอก็ยิ้มตอบ ก็แค่นั้นเอง สังคมเมืองต่างคนต่างอยู่อยู่แล้ว ครอบครัวเธอก็ไม่ชอบให้ลูกๆ ไปสุงสิงกับใคร และเธอเองก็ไม่ใช่คนช่างเจรจา หรือมีมนุษยสัมพันธ์ดีงามอะไร
แต่ที่เธอรู้ว่าเขาชื่อสุดเขต เพราะน้องสาวกับน้องชายเคยพูดถึงอยู่บ้าง เคยล้อๆ กันทำนอง ‘นายสุดเขต บ้านสุดซอย หลังสุดท้าย’
วันนี้ของขวัญแทบไม่อยากเชื่อว่า เธอกำลังอยู่ในรถของเขา ถ้าไม่เป็นเพราะรีบกลับบ้านก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะยอมขึ้นรถมาด้วยไหม ถึงจะเห็นกันมานานก็เถอะ รู้ว่าเขาไม่มีพิษภัยแน่ๆ แต่ก็ไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดต้องนั่งรถเขานี่
หญิงสาวคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบร้อยแล้วมองไปทางขวา เจอใบหน้าที่มองมาพอดี เขายิ้มให้ ปากสวย ฟันสวย จมูกมีสัน สันกรามก็กำลังสวย แถมยังเป็นผู้ชายที่ดวงตาแอบแป๋วแหวว สรุปแล้วก็หน้าตาดีทีเดียว
“พี่ถามหน่อยได้ไหม”
ของขวัญพยักหน้า รู้สึกแปลกๆ ที่ท่าทีเขากันเองเกินเหตุ เรียกพี่เรียกน้องอย่างสนิทสนม และไม่ลงท้ายประโยคด้วย ‘ครับ’
“น้องไปทำอะไรมาที่ตึกนั้น อืม...แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวที่ไม่อยากตอบก็ได้นะ”
“ได้ค่ะ ขวัญไปอบรมพวกคอร์สพัฒนาตนเองมา”
เธอตอบเขาตามตรง เพราะมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่า ผู้ชายคนนี้คงไม่เอาเรื่องนี้ไปบอกที่บ้านแน่ๆ ร้อยวันพันปีบิดามารดาเธอก็ไม่เคยพูดกับใคร อย่าว่าแต่คนบ้านหลังสุดซอยเลย ขนาดบ้านหลังติดกัน ครอบครัวเธอก็แทบไม่เสวนา
“อ๋อ สถาบันมายเวย์ฯ ของอาจารย์พี”
เธอไม่ประหลาดใจที่เขารู้จัก เพราะความเด่นดังของอาจารย์พีศรุตและสถาบันแห่งนี้ ถ้าสุดเขตไม่รู้จักละก็ นอกจากจะอยู่บ้านหลังสุดซอยแล้ว อาจต้องเพิ่มว่า ‘อยู่หลังเขา’ ไปด้วย
“พี่ก็เคยนึกอยากไปอบรมเหมือนกัน แต่ไม่ค่อยมีเงิน” คนพูดพูดด้วยเสียงเรียบๆ ฟังไม่ออกว่ากำลังเหน็บหรืออะไร “ข่าวว่าแพง”
“ก็ราคาสูงอยู่ค่ะ แต่ขวัญอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็ต้องลงทุน”
“การลงทุนคือความเสี่ยง” เขาว่าพลางหัวเราะ แต่ของขวัญไม่ขำ คนพูดเลยพูดต่อเหมือนจะกลบเกลื่อนมุกแป้กของตัวเอง “แต่ถ้าไม่เสี่ยงก็ไม่รู้ จริงไหม ว่าแต่อบรมกี่วันหรือ...ครับ” เขาหยอดคำท้าย เหมือนเพิ่งนึกออก
“วันนี้วันแรกค่ะ ก็เหลืออีกสี่วัน เอ่อ...ขอโทษนะคะพี่เขต พอดีวันนี้ขวัญรีบกลับบ้านมาก ถ้าพี่จะขับเร็วกว่านี้อีกนิดได้ไหมคะ” เธอพูดอย่างเกรงใจ เพราะเขาก็อุตส่าห์มีไมตรี
ชายหนุ่มสะดุ้งเหลือบมองเลขไมล์ แล้วพูดเสียงรัว
“โทษๆๆ ขอโทษ พี่ก็มัวคุยเพลิน ถนนก็ว่าง ดันขับสี่สิบเฉยเลย เดี๋ยวเหยียบให้นะ” แล้วเขาก็เร่งความเร็วขึ้นก่อนชวนคุยต่อ “เหลืออีกสี่วัน แล้วเลิกเวลานี้ทุกวันเลยใช่ไหม”
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ อดนึกไม่ได้ว่าตานี่ ดูก็เป็นคนดีอยู่หรอก แต่ติดจะซอกแซกเรื่องชาวบ้าน
“ไม่มีอะไร พอดีช่วงนี้พี่ผ่านแถวนี้ทุกวัน พี่แวะรับกลับบ้านได้เลย น้องจะได้ไม่ต้องเปลืองค่ารถ แค่ออกมายืนรอพี่ที่เดิมแบบวันนี้แหละ”
ของขวัญขมวดคิ้ว มีความลังเลสงสัยอะไรหลายๆ อย่างในสีหน้า คนอาสาหัวเราะเห็นฟันเรียงระเบียบสวย ก่อนจะบอก
“งั้นอธิบายเพิ่มอีกหน่อย คือพี่เป็นคนตรงเวลามากๆ แล้วไอ้ที่ว่าผ่านแถวนี้ ก็เพราะช่วงนี้พี่ต้องมาธุระแถวนี้ทุกวัน ไม่ไกลจากตึกนั่นเท่าไร พี่สามารถไปถึงได้โดยที่รถไม่ทันติด ถ้าน้องออกมาตรงเวลาเป๊ะ พี่ก็แวะรับได้เป๊ะ”
เมื่อเห็นเธอยังนิ่ง เขาก็พูดต่อ เสียงทุ้มๆ มีจังหวะจะโคน ทำให้คนฟัง อดฟังเพลินไม่ได้
“ก็เห็นว่าอยู่ซอยเดียวกัน แล้วมันไม่ลำบากอะไรเลย แค่แวะรับมาด้วยกัน อีกอย่างเห็นน้องมาอบรม พี่เองถึงไม่ค่อยมีเงิน แต่ก็สนใจอยู่บ้าง เผื่อจะถามอะไรเพิ่มเติม แค่นี้แหละไม่มีอะไรมาก ก็แล้วแต่น้องละกัน ไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”
“โอเคค่ะ งั้นพรุ่งนี้เวลาเดิม แต่ถ้าเกิดพี่ไม่เห็นขวัญ ก็ผ่านไปได้เลยนะคะ เพราะก็ไม่รู้ว่าในคลาสเขาจะมีบรรยายเกินเวลา หรือมีกิจกรรมอะไรนอกเหนือหรือเปล่า”
“โอเคตามนั้น อ้อ พี่ถามอีกหน่อยได้ไหม”
เธอพยักหน้า เริ่มคุ้นกับกิริยาท่าทางที่ดูคล้ายๆ คนกะล่อนของเขา
“ถ้าพี่จำไม่ผิด น้องเรียนจบมาพักใหญ่แล้วใช่ไหม คุ้นๆ ว่าจะเคยเห็นถ่ายรูปชุดปริญญากันหน้าบ้าน”
“ใช่ค่ะ จบมานานแล้วละ จะสองปีแล้ว แต่ยังไม่ได้งานอะไรเลย ขวัญก็เครียดเรื่องนี้แหละ ที่ไปอบรมส่วนหนึ่งก็หวังว่าจะช่วยให้มีงานได้” สีหน้าและน้ำเสียงหม่นลง
“อย่าไปเครียดกับมันเยอะ เศรษฐกิจแบบนี้ใครๆ เขาก็ตกงาน แค่สองปีเรื่องจิ๊บจ๊อยมาก พี่ขนาดจบมาตั้งหกเจ็ดปีแล้วก็ยังมีบ้างไม่มีบ้าง แล้วเห็นไหมพี่ก็ยังอยู่ได้สบายดี”
“พี่เขตอยู่คนเดียวก็ได้สิคะ ไม่มีใครกดดัน แต่...” ของขวัญรู้สึกตัวว่าเริ่มพูดมากไปจึงหยุดแค่นั้น
“เป็นธรรมดาของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกมีงานทำ เอาน่ะ พี่ดูๆ แล้ว เรามีอะไรคล้ายๆ กันหลายอย่าง เดี๋ยวเราช่วยๆ กันคิดเรื่องงานเรื่องการ ดีไหม”
เธอหันมองเขา ไม่เจออะไรแปลกปลอมซ่อนเร้นในคำพูด ดูเขาจริงใจ และการพูดคุยกับเธอก็ดูสนิทสนมอย่างกับคนสนิทกันมาแรมปี คงเพราะเห็นหน้าเห็นตากันมานานนั่นแหละ เธอเองก็เห็นเขาตั้งแต่เขาใส่ชุดนักเรียนขาสั้น ตอนนั้นเธอยังเด็กมาก ให้เดาเขาคงแก่กว่าเธอสักสี่ถึงห้าปีกระมัง คำตอบต่อมาของเธอจึงมาพร้อมกับรอยยิ้มหวานๆ
“ก็ดีค่ะ พี่เขต ขอบคุณนะคะ สำหรับทุกอย่าง”
“ไม่เป็นไรจ้ะ เราเพื่อนบ้านกันมานาน ก็เหมือนพี่เหมือนน้องกันนั่นแหละ”
พูดแล้วเขาก็เลี้ยวรถเข้าซอยหมู่บ้าน ไม่นานก็หยุดให้เธอลงหน้าบ้าน ก่อนที่เขาจะขับเลยไปยังบ้านหลังสุดท้ายปลายซอย
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **