ราวๆ ครึ่งชั่วโมงต่อมา
เอวากำลังพยักหน้าตอบคำถามชายชาวอิตาลีที่มีผมสีเทา สวมเสื้อกาวน์สีขาวและบัตรระบุตำแหน่งแพทย์ติดบนกระเป๋าเสื้อซึ่งทำให้เธอรู้ว่าเขาคือคุณหมอ ภาษาอังกฤษสำเนียงอิตาลีนั้นฟังยากทีเดียวแต่พอจะเดาได้ว่าถามอาการต่างๆ นานา และคนที่ตอบกับคอยหันมาถามเธอเป็นระยะก็คือเพื่อนของเธอเอง
“เอ” ข้าวใหม่หันมาจ้องหน้าเธออย่างสำรวจ ทำหน้าที่เป็นล่าม “หมอถามว่าปวดหัวไหม ก่อนหน้ามีท้องเสีย เสียเลือด กินยาอะไรประจำไหม เมนมาหรือเปล่าหรือว่าท้อง”
“ว้าย ฉันจะท้องกับใครล่ะ” เธอโวยทันที
“อ้าว ไม่รู้ ก็หมอเขาถามมา” เพื่อนเลิกคิ้ว
“ไม่มีท้องเสีย ไม่มีเสียเลือด ไม่ได้กินยาไรเลย ถ้าจะท้องก็ท้องกับ อเลสซานโดรคนเดียวนี่ละ แต่เพิ่งจ้องตาไปไม่กี่นาทีจะท้องได้ไหมล่ะ” เธอตอบหน้าตาเฉย
“บ้า!” เพื่อนตีแขนเธอเพียะ “จนเป็นลมเป็นแล้งยังจะมาพูดกวนอีก ตกลงไม่เป็นไรแน่นะ” เพื่อนยื่นหน้ามาจ้องใกล้ๆ
เธอพยักหน้าไปแกนๆ ข้าวใหม่ยังบ่นต่อ
“ดีนะ กล้องจับภาพเอขึ้นจอ ข้าวเลยเห็น ตกใจมากอะ ตะโกนเรียกเสียงแปดหลอดเลย”
“มิน่า เอได้ยินเสียงข้าวแว่วๆ”
เอวาพูดแล้วเริ่มมองรอบตัว เห็นชายต่างชาติในชุดเจ้าหน้าที่หลายคนเดินไปมาในห้องโล่งกว้าง หมอยังก้มๆ เงยๆ วัดความดันเธอ แล้วประตูห้องก็เปิดผางพร้อมกับร่างสูงในชุดนักบอลสีม่วงครามเดินจ้ำเข้ามา
เอวาทะลึ่งพรวดลุกขึ้นนั่ง เสียงหมอโวยวายเป็นภาษาอิตาลีแต่เธอไม่สน หันไปคว้าแขนเพื่อนที่ยังยืนอยู่ใกล้ๆ
“ข้าว! นั่น...นั่นอาเลส อาเลสจริงๆ ใช่ไหม!”
เพื่อนหันไปมอง ยังไม่ทันตอบอะไร เทพบุตรในฝันของเธอก็มายืนอยู่ตรงหน้า เม็ดเหงื่อยังพราวอยู่บนหน้าผากและโหนกแก้มอันคมคาย
“เป็นยังไงสาวน้อยของผม” เขาถามแล้วยื่นหน้ามาเขม้นมองเธอ ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกาย
เอวาอยากจะเป็นลมอีกรอบจริงๆ เขาพูดว่า ‘สาวน้อยของผม’ เธอ...ได้ยินไม่ผิดใช่ไหม! หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้าง อเลสซานโดรที่เธอเฝ้ามองอยู่ไกลๆ มาตลอด มาวันนี้ตัวเป็นๆ ตัวจริงๆ ของเขายืนอยู่แค่เอื้อม แถมยังถามไถ่เธอ เรียกเธอว่าสาวน้อย โอ๊ย...เอวาละลายแล้ว
“หน้ายังซีดอยู่เลยหมอ เธอโอเคหรือยัง”
เขาหันไปถามกับนายแพทย์ด้วยตัวเอง หมอดึงที่วัดความดันออกจากแขนเธอแล้วพูดอะไรยาวๆ เป็นภาษาอิตาลีล้วนๆ แล้วอเลสซานโดรก็หันมายักคิ้วให้เธอพร้อมกับยิ้มมุมปากที่ดูน่ารักเป็นที่สุด
“หมอว่าคุณตื่นเต้นเกินไปที่เจอผม จริงเหรอ” ภาษาอังกฤษเขาดีทีเดียว ใบหน้าล้อเลียนนั้นทำเธอแก้มร้อน หลบตาเขาเป็นพัลวัน
“สงสัยจะจริง แก้มแดงขึ้นมาเลย ดีๆ หน้าจะได้หายซีด” เขายิ้ม ยิ้มที่ดูจริงใจ ไม่แต่งแต้ม ไม่เก๊กหล่ออย่างเวลาถ่ายรูป “นี่ผมรีบขอทีมงานแว่บเข้ามาดูคุณเลยนะ ยังมีแฟนๆ ขอถ่ายรูป นักข่าวขอสัมภาษณ์อีกเพียบแต่ผมไม่มีสมาธิ เพราะคุณ”
เขาชี้นิ้วมาที่เธอ เอวาได้แต่เบิกตาโต เขาพูดต่อ
“คุณทำผมตกใจแทบแย่...”
แล้วอาเลสก็เอียงใบหน้าหล่อเหลาเคล้ากลิ่นเหงื่ออันหอมหวานเข้ามากระซิบข้างแก้มเธอ “ผมไม่เคยให้ดอกไม้สาวเลยนะจริงๆ”
เธอยังคงตาโตค้าง เขาขยับห่างออกไปเล็กน้อย หากยังจ้องตากัน เอ่ยยิ้มๆ “ให้คุณคนแรกก็เป็นลมใส่เสียอีก”
แล้วพ่ออาเลสก็ทำเธอตัวแข็งทื่อ เมื่อเขายื่นมือมากุมมือเธอข้างหนึ่ง “ขอบคุณนะที่มาเชียร์ผมถึงที่นี่ ขอบคุณที่ทำให้ผมได้เจอคุณอีกครั้ง”
“คะ” เธอมองเขาอย่างงงๆ ดวงตาของเขาฉายแววขี้เล่น ประกายตาซุกซนอย่างบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวเราต้องคุยกันหน่อยแล้ว”
นักบอลหนุ่มยักคิ้วให้อีกครั้ง ก่อนจะรีบเดินออกไปเมื่อมีคนมาตามไปให้สัมภาษณ์อย่างเป็นทางการหลังการแข่งขันจบ
“แก! ข้าว!” เอวากระตุกแขนเพื่อนถี่รัว “ฉันได้ยินไม่ผิดใช่ไหม เขา...เขาบอกว่าอยากคุยกับฉัน”
“เออ ฉันจะเป็นลมแทนแกแล้วนะยายเอ”
ข้าวใหม่ทำท่าเข่าอ่อนทรุดลงไปจนเธอร้องลั่น
“ว้าย! ข้าว!”