ไกลออกไปกว่าสองพันไมล์ข้ามครึ่งค่อนประเทศ ในยามอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า เจ้าของร่างสูงใหญ่ในชุดสูทสีดำนั่งคุกเข่าอยู่หน้าหลุมศพหนึ่งในหลายๆ พันหลุมที่ประดับตกแต่งด้วยดอกไม้และธงชาติผืนเล็กปลิวไสว แม้จำนวนผู้คนที่มาเคารพศพจะไม่น้อย แต่ทั่วทั้งสุสานทหารกล้าเงียบสงบด้วยความเคารพสูงสุด เจมส์ แมคเครย์ยืนรอนายของเขาอยู่ข้างรถที่จอดนิ่งมาสามชั่วโมงแล้ว ร่างสูงที่คุกเข่าอยู่ปกปิดสายตาด้วยแว่นดำ ร่างกายไม่ไหวติงราวกับว่าร่างของเขากลายเป็นรูปปั้นไปเสียแล้ว
ห้าวันก่อนแม็กซ์ได้รับการติดต่อจากบริษัทสตอเรจรายใหญ่ในแคลิฟอร์เนีย แจ้งว่าของที่ถูกฝากไว้ให้ในชื่อเขาใกล้ครบสัญญาจัดเก็บแล้ว และคนฝากไว้คือ ไมค์ แมคมาฮาน บริษัทติดต่อให้มารับของ แม็กซ์รีบรุดเดินทางทันที เมื่อเปิดเข้าไปในห้องเก็บของขนาดใหญ่แม็กซ์ก็คำรามลั่นราวสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส เบื้องหน้าของเขาคือตู้เซฟขนาดใหญ่สองตู้ที่คลุมไว้ด้วยธงชาติผืนเก่าขาดวิ่นที่เขาจำได้ว่ามันเคยแขวนอยู่ในห้องใต้ดินที่บิดาชอบลงไปคลุกอยู่กับปืน ของสะสมที่บิดารัก แม็กซ์จำได้ว่าบิดาของเขาเป็นคนบ้างาน วันว่างจึงมีไม่มากนัก แต่วันใดที่ว่าง บิดาจะพาเขาไปสนามยิงปืนกลางป่าเสมอ แม็กซ์จึงช่ำชองการยิงปืนมาตั้งแต่ยังเด็ก อาวุธเพชฌฆาตเหล่านี้บิดาเขาสะสมมาตั้งแต่วัยหนุ่มจนได้เป็นร้อยกว่ากระบอก มูลค่าแทบจะประเมินไม่ได้ แม้ในวันที่ลาโลกไป ไมเคิล แมคมาฮานก็จากไปด้วยกระสุนปืนของตัวเอง
ทันทีที่เห็นท่าทีของนาย เจมส์ก็ไล่ลูกน้องทุกคนให้ถอยออกมารอด้านนอกทันที นานแสนนานกว่านายจะเดินออกมาด้านนอกพร้อมคำสั่งให้เจมส์ไปดำเนินการขนย้ายสมบัติในตู้เซฟที่เป็นปืนเก่าสะสมทั้งหมดหนึ่งร้อยห้าสิบกระบอกกลับไปด้วย ในพินัยกรรมบิดาระบุว่ามอบให้แม็กซ์ แมคมาฮานทั้งหมด เอกสารต่างๆ ที่พอดำเนินการได้ก่อนเสียชีวิต บิดาของเขาได้ดำเนินการไว้หมดแล้ว ปืนทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของแม็กซ์โดยชอบธรรม เจมส์จัดการถลุงเงินในบัญชีของนายเพื่อวิ่งเต้นเพียงสองสามวันก็พอจะเคลื่อนคลังแสงของบิดาเจ้านายกลับไปด้วยได้
รอก็แค่ว่าเมื่อไหร่นายพร้อมที่จะหันหลังให้หลุมศพบิดาแล้วออกเดินทางก็เท่านั้น
“แม่ครับ พ่ออยู่ไหนอะ ไหนแม่ว่าเราจะมาหาพ่อไง” เสียงเด็กชายวัยห้าหกขวบดังก้องสุสาน กระชากดึงผู้คนที่กำลังดำดิ่งกลับสู่ความจริงอันเชือดเฉือน
“ลูกจ๋า มานั่งลงนี่ พ่ออยู่ตรงนี้ไง”
“ไม่” เด็กน้อยเบะปาก น้ำตาไหลพรากและเริ่มร้องไห้จ้า คนเป็นแม่ผวาเข้ามาหา
“มานี่มาลูก อย่าดื้อนะ”
“ไม่ จะหาพ่อ ฮือๆ” เด็กน้อยหลับหูหลับตาร้องไห้ วิ่งหนีแม่จนชนกับร่างแข็งเป็นหินของแม็กซ์ เขายื่นมือมารั้งร่างอวบอ้วนไว้ทันก่อนที่จะล้มคะมำ รอให้แม่เด็กตามมาทัน
“ขอโทษด้วยนะคะ ลูกยังไม่รู้เรื่องเลย”
“ไม่เป็นไร เจ้าหนูไปกับแม่สิ” เขาดันร่างเล็กกลับไปหาแม่ เด็กน้อยโผจากชายแปลกหน้าไปหาอ้อมอกมารดาอย่างง่ายดาย ทั้งสองกอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้นพาให้ทุกคนในบริเวณนั้นเบือนหน้าหนีกันหมด แม็กซ์พยุงเข่าที่ด้านชาให้ลุกขึ้นยืน ให้เวลาตัวเองตั้งมั่นก่อนจะหมุนตัวหันหลังกลับให้สุสานทหารกล้าแห่งนั้น
“เอกสารเรียบร้อยหมดแล้ว ของก็ออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้วครับนาย เคนเนธรอรับอยู่ทางนั้น”
“อืม บอกให้เตรียมเรือให้ฉันด้วย จะออกทะเลสักสามสี่คืน”
“ครับนาย”
ไม่ถึงห้าชั่วโมงต่อมา แม็กซ์ แมคมาฮานก็มานั่งอยู่บนเรือที่ลอยลำอยู่ชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติกอันกว้างใหญ่ไพศาล บนโต๊ะมีภาพถ่ายในกรอบไม้เก่าๆ ในภาพนั้นมีนายทหารนาวิกโยธินสามนายยืนอยู่ โดยที่ด้านหน้าของพวกเขาคือสุภาพสตรีสองนางในชุดสูทกระโปรงแบบสากล และด้านหน้าสุดมีเด็กชายรูปร่างผอมเก้งก้างที่พาดแขนสองข้างสวมกอดร่างเล็กสูงไม่เกินหัวเข่าเอาไว้หลวมๆ จากด้านหลัง ใบหน้าเขาเผยรอยยิ้มกว้าง ส่วนเด็กน้อยในชุดกระโปรงชมพูแหงนหน้าขึ้นมองเขา ที่มุมหนึ่งใต้ภาพบันทึกไว้ว่า ‘เกาะกวม ปี ค.ศ. ๑๙๙๖’ แม็กซ์ แมคมาฮานปล่อยให้ความคิดล่องลอยกลับไปในอดีต ให้ความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่อย่างไม่ปัดป้อง ในค่ำคืนที่มืดมิดที่สุดในชีวิตของบิดา เขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น เพราะเขากำลังหลงอยู่กับความสำเร็จของตัวเอง ความสำเร็จที่เผลอครู่เดียวแม็กซ์ก็ได้รู้ว่ามันช่างไร้ค่า เพราะแม้แต่ครอบครัวสักคนเขาก็ไม่มีเหลือ
นี่กระมังที่ทำให้เขากลับมาที่นี่ ที่ที่ทุกคนเริ่มต้นมิตรภาพดีๆ ด้วยกัน กลับมาเพื่อเก็บชิ้นส่วนชีวิตที่แตกสลายมาปะติดปะต่อ หวังแค่ว่าเขาจะมีใครสักคนที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน
----------
ค่ำของวันที่อากาศร้อนระอุที่พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะมาในวันสองวันถัดไป รถคันเก่าของแมกโนเลียขับเข้ามาจอดที่ริมฝั่งแม่น้ำนิวริเวอร์ฟากที่ติดกับปากน้ำทะเลแอตแลนติก บริเวณท่าน้ำกร่อยที่มีปูและกุ้งชุกชุม เป้าหมายของบ่ายวันนั้นของแมกโนเลียและซาร่าคือกุ้งและปูสดๆ เพื่อนำไปทำอาหารไทยรสแซ่บ เมนูที่มารดาของแมกโนเลียเคยทำให้กินอยู่บ่อยๆ ทั้งสองขนถังใส่น้ำแข็ง แหสำหรับเหวี่ยงจับกุ้ง เชือกผูกไก่สดสำหรับล่อปู กระชอนตักกุ้งและปู น้ำและเครื่องดื่มที่เตรียมมาพวกหล่อนวางไว้ที่ศาลาไม้ ส่วนอุปกรณ์จับสัตว์น้ำก็หอบหิ้วเดินลงไปที่สะพานไม้ที่ทอดยาวออกไปในปากน้ำเป็นรูปตัวที สะพานกว้างพอจะเดินสวนกันได้สบายๆ เวลานั้นมีพ่อลูกคู่หนึ่งกำลังนั่งหย่อนขาเริ่มเหวี่ยงเบ็ดตกปลาอยู่เช่นกัน ชายผู้เป็นพ่อเป็นนายทหารเกษียณจากนาวิกโยธินเช่นกัน พวกเขาจึงทักทายกันอย่างสนุกสนาน
ซาร่าได้รับถ่ายทอดฝีมือในการจับกุ้งด้วยแหและการดักปูง่ายๆ มาจากป้าสะใภ้ที่เป็นชาวฟิลิปปินส์ หล่อนจึงเก่งพอตัว ส่วนแมกโนเลียก็ดักปูตัวใหญ่ด้วยน่องไก่สดผูกเชือกขนาดยาวหย่อนลงไปตามเสาของสะพานไม้ รอให้เจ้าปูลอยรี่เข้ามาดึงทึ้งกินเนื้อจึงค่อยๆ ก้มตัวลงสาวเชือกขึ้นมาช้าๆ เสมือนยื้อแย่งเนื้อไก่กับเจ้าปูตะกละ ก่อนที่พวกมันจะรู้ตัวก็ช้อนขึ้นมาใส่ถังน้ำแข็งไว้ เพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแมกโนเลียก็ได้ปูเป็นปอนด์แล้ว ส่วนซาร่าเหวี่ยงแหจนกล้ามจะขึ้นก็ยังได้กุ้งไม่เท่าไร ได้แต่ปลาไม่ต้องการ เด็กชายที่มากับพ่อมาขอปลาจากหล่อนไปทำเหยื่อตกปลาบ้าง
“ผมเคยตกได้ปลาตัวใหญ่ด้วยนะ ใช่ไหมครับพ่อ” เด็กชายวัยสักแปดขวบอวด บิดาของเขายิ้มตาหยีพยักหน้า
“เก่งจังเลยจ้ะ วันนี้จะได้ไหมนะ”
“น่าจะได้นะ ถ้าผมได้ปลาตัวใหญ่จะแบ่งให้พวกพี่บ้าง” เขาบอกเสียงสดใส ชอบใจที่แมกโนเลียสอนให้เขาใช้กระชอนช้อนปูแล้วยังแบ่งปูให้อีกหลายตัว
“ดีเลย ขอบใจจ้ะ พี่จะได้ทำปลาอบแบ่งให้แมวพี่กินด้วย”
“หืม พี่เลี้ยงแมวด้วยเหรอ” เด็กชายทำตาโต
“จ้ะ เป็นแมวที่แม่พี่ซื้อให้น่ะ”
“โห ดีจัง ผมยังไม่โตพอ พ่อยังไม่ให้เลี้ยงสัตว์เลยครับ ความจริงผมชอบหมาตัวเล็กๆ นะ” เสียงเด็กชายเศร้าเล็กน้อย แมกโนเลียสบตาบิดาของเขา วางมือบนมือเล็กอวบอูม
“ถ้าพร้อมเมื่อไรก็ได้เลี้ยงแน่นอนจ้ะ พี่เป็นผู้ชำนาญการเลี้ยงสัตว์นะ ไม่อยากบอกว่าเป็นพี่เลี้ยงให้สัตว์เลี้ยงมาเยอะแยะเลย”
“โห จริงเหรอ พ่อครับ ผมเจอครูดีเข้าแล้ว ถ้าพี่แม็กกี้สอนผม ผมเลี้ยงหมาได้ไหมครับ”
“อืม เอาสิลูก แต่ต้องตั้งใจเรียนนะ” บิดาของเขาบอก
“สัญญาเลย” เด็กชายยิ้มแก้มปริ “เสาร์นี้ผมจะไปร้านหนังสือมอริส ไปหัดเลี้ยงหมาแมวกับพี่นะครับ”
“ได้สิจ๊ะ พี่ยินดีต้อนรับ” แมกโนเลียรับปากแล้วลุกไปตรวจดูเหยื่อของตัวเองต่อ ส่วนซาร่าพยายามอยู่นานก็ยังไม่มีโชค จึงวางมือแล้วนั่งลงดื่มน้ำอัดลมให้หายเหนื่อย
“ว้าว พี่แม็กกี้ได้อีกแล้ว ตัวโตมาก ระวังมันหนีบเอานะพี่...ว่าแต่กุ้งมันไปไหนหมดนะ ปกติช่วงนี้จะมีเยอะแล้ว”
“อาจเป็นเพราะสภาพอากาศปีนี้แปลกๆ ล่ะมั้ง ฝนตกชุกมากเป็นพิเศษ”
“นั่นสิ เอ่อ...พี่สาว” ซาร่ามีท่าทีอึกอัก “เดี๋ยวหนูขอไปชิลกับพีทแป๊บนะ เขาออกเวรแล้วกำลังขับรถมา” หล่อนหมายถึงแฟนหนุ่มนายทหาร ‘พีท คัลเลน’
“จ้ะ อย่านานนักละ”
“รับทราบค่ะ” ซาร่าลุกออกไปเมื่อรถของแฟนหนุ่มแล่นเข้ามาจอด เขาโบกมือให้แมกโนเลียแล้วทั้งสองก็พากันขึ้นรถของเขาไป ครู่ใหญ่ชายสูงวัยที่มากับลูกชายก็เข้ามาบอกว่าเขากับลูกชายจะกลับแล้ว ถามว่าหล่อนจะอยู่คนเดียวได้ไหม เพราะฟ้าเริ่มมืดแล้ว
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวเพื่อนหนูก็กลับมา แล้วหนูก็จะกลับเหมือนกันค่ะ คงได้ปูพอแล้ว ไว้พบกันใหม่นะคะ”
ทั้งสองร่ำลากัน จากนั้นสองพ่อลูกก็ขนของไปขึ้นรถแล้วขับออกไป