ห้วงเวลาแห่งความรู้สึกแปลกๆ ผ่านไปเมื่อได้เข้ามานั่งในสตูดิโอใหญ่ที่สำหรับถ่ายทอดสดการแสดงคอนเสิร์ต Thailand The Idol ซึ่งคืนนี้กลทีป์ยังคงร้องเพลงได้ดีเหมือนเคย ลลีนากับนภสรส่งเสียงเชียร์และปรบมือให้เขาก่อนจะกดโหวตผ่านมือถือรัวๆ ทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าสดใส ยิ้มทีเหมือนโลกจะละลายได้ กับเสียงร้องเพลงแสนมีเสน่ห์ของกลทีป์ก็ทำให้ลลีนาลืมเรื่องทุกอย่างไปจนหมดสิ้น กลทีป์เป็นคนที่มีเสน่ห์อย่างล้นเหลือเวลาอยู่บนเวทีจริงๆ แม้เขาจะอายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะกลทีป์อาศัยจุดนั้นเป็นจุดเด่นให้กับตนเอง เขาเหมือนน้องชายคนเล็กของทุกคน ความช่างพูด ช่างอ้อน และก็มีมุกตลกเยอะแถมยังอ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ทำให้กลทีป์ดูจะเป็นที่รักใคร่ของใครหลายๆ คนทั้งเพื่อนๆ ที่ประกวดด้วยกันและกองเชียร์
“พี่นุ่น ทำไมทีป์น่ารักแบบนี้อะ หนูคลั่งรักเขาจะตายอยู่แล้ว”
นภสรเอ่ยด้วยสายตาเคลิบเคลิ้ม ในขณะที่บนเวทีผู้เข้าแข่งขันทุกคนออกมายืนอยู่กลางเวทีแล้วเพื่อรอฟังผลโหวตว่าใครจะได้เข้ารอบต่อไป และใครจะต้องออกจากรายการไปในค่ำคืนนี้
“นั่นสิ เขาน่ารักมากเลยเนอะ” ลลีนาก็ยอมรับว่าเธอเองก็คลั่งไคล้กลทีป์ไม่น้อยไปกว่านภสรและกองเชียร์คนอื่นๆ
“พี่นุ่นรู้ไหม ปีนี้สปอนเซอร์ใหญ่ที่เป็นบริษัทสายการบินน่ะ เขาจะเปิดเส้นทางบินไปเนปาล เพราะฉะนั้นแชมป์ในปีนี้จะได้ไปเนปาลพร้อมกับแฟนคลับที่ร่วมโหวตให้เขา คอยดูนะ หนูจะทุ่มโหวตให้สุดๆ ไปเลย! ยังไงหนูก็จะไปเนปาลกับทีป์ให้ได้!” นภสรมีสายตามุ่งมั่นและจริงจัง หญิงสาวเพิ่งมาดูการประกวดเป็นปีแรก และเมื่อตัดสินใจว่าจะเชียร์กลทีป์ เธอก็เชียร์และทุ่มโหวตสุดตัว นภสรเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเอกชนปีสุดท้ายแล้ว และครอบครัวของเธอก็เป็นเจ้าของกิจการบริษัทก่อสร้างขนาดใหญ่ ดังนั้นเรื่องเงินจึงไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งครอบครัวยังตามใจลูกสาวคนนี้มาก อะไรที่ลูกชอบมีหรือจะขวาง แต่นภสรเองก็ไม่เคยทำให้บิดามารดาผิดหวังเรื่องการเรียนเช่นกัน
ลลีนาเองก็โหวตให้กลทีป์ไม่น้อย แต่เธอไม่ค่อยเชื่อเรื่องดวงของตัวเองเลยสักครั้ง เพราะเธอไม่เคยมีโชคเรื่องนี้ แต่ไหนแต่ไรหากมีการสุ่มจับฉลากหาผู้โชคดี ชื่อของเธอไม่เคยถูกหยิบขึ้นมาสักที หากจะมีโอกาสได้ไปเนปาลกับกลทีป์เธอคงต้องฝากความหวังไว้กับนภสรเสียแล้ว
“ผู้โชคดีสามารถพาเพื่อนไปด้วยได้หนึ่งคน หนูสัญญาเลยนะพี่นุ่น ถ้าหนูได้ไป พี่นุ่นต้องได้ไปด้วย”
คำสัญญาเป็นมั่นเหมาะของนภสรบวกกับเสียงประกาศบนเวทีว่าสัปดาห์นี้กลทีป์ยังคงได้คะแนนนำมาเป็นที่หนึ่ง เป็นสองเรื่องที่ทำให้ลลีนามีความสุขที่สุด จนถึงกับกลับมานอนหลับฝันหวานเลยทีเดียว
----------
เสียงแตรรถยนต์ดังปิ๊นๆ ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ทำให้ลลีนาที่เพิ่งจะลงนั่งหน้าโน้ตบุ๊กต้องเดินไปแหวกม่านหน้าต่างดู และก็เห็นว่ารถโฟล์กคันเก่งของเธอจอดอยู่ พร้อมกับใครบางคนที่เปิดประตูลงมาส่งเสียงโหวกเหวกราวกับจะรู้ว่าเธอกำลังมองเขาอยู่จากชั้นสองของบ้าน
“พี่จะไม่ไปรับรถให้นุ่นอีกแล้วนะ ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเจ้าแก่มันยังเกเรอีกพี่จะให้ป้าดายึดกุญแจรถจากนุ่นแล้ว” เมธาลูกพี่ลูกน้องของเธอนั่นเองกำลังยืนชี้ไม้ชี้มือมาที่เธอ ลลีนาเลยต้องรีบลงไปหา ทั้งยังงงๆ ว่าอีกฝ่ายรู้เรื่องที่รถเธอส่งซ่อมได้ยังไง
“พี่เมธไปเอารถมาได้ยังไงคะ” เธอถาม ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นว่าคนเป็นพี่ผิวคล้ำไปกว่าเดิมมากทีเดียว คงเพราะงานราชการต่างจังหวัดคราวนี้นั่นละ
“ถามจากลินน่ะสิว่าวันนั้นใครไปส่งกุ้งแก้ว เลยรู้ว่ารถเราน่ะมันเกเรอีกแล้ว ดีนะที่ลินเขารู้เรื่องอู่ซ่อมรถด้วยว่าอยู่แถวไหน” พอพี่ชายตอบมาแบบนั้น ลลีนาก็ไม่แปลกใจแล้ว เพราะเกวลินนั้นช่างสืบช่างค้นเป็นที่หนึ่ง นี่ก็คงจะสอบถามเรื่องอู่จากภีมวันที่โทร.ไปขอเบอร์โทรศัพท์ของเธอแน่นอน
“ขอบคุณนะคะพี่เมธ” ลลีนาเสียงอ่อย เพราะก็เกรงใจเมธาอยู่เหมือนกันที่เป็นธุระให้ทุกครั้ง
“พี่รู้ว่าเรารักรถคันนี้มากเพราะเป็นของคุณลุง แต่ถ้ามันเสียบ่อยๆ แบบนี้มันไม่ดีกับนุ่นนะ เราน่ะเป็นผู้หญิงเกิดรถมันไปเสียในที่เปลี่ยวหรือตอนกลางค่ำกลางคืนจะเป็นยังไง รถที่ป้าดาซื้อให้น่ะเอามาใช้ได้แล้ว จอดจนฝุ่นจับทั้งคันแล้วมั้งนั่น” แต่ก่อนที่เมธาจะเทศนาเธอไปมากกว่านั้น เขาก็ต้องเลิกบ่นเมื่อมารดาของเธอเดินออกมาที่หน้าบ้านแล้วเรียกให้เข้าไปกินข้าวเช้าด้วยกัน ลลีนาจึงลอบยิ้มอย่างโล่งอกที่ไม่ต้องฟังเทศน์ต่อ
หากลลีนาหารู้ไม่ว่าในวันเดียวกันแต่ก่อนหน้านี้กลับมีใครบางคนที่ยิ้มไม่ออก ใครบางคนนั้นที่อุตสาห์ไปรอที่อู่ซ่อมรถแต่เช้าเมื่อรู้ว่าวันนี้รถของลลีนาซ่อมเสร็จแล้ว และกำลังจะเป็นคนโทร.มาหาเธอเพื่อบอกข่าวนี้ด้วยตนเอง แต่ทว่ากลับมีชายหนุ่มคนหนึ่งไปที่อู่เหมือนกันแล้วแจ้งว่ารู้จักกับลลีนาเสียก่อน พร้อมยื่นกุญแจสำรองที่พกติดตัวมาเพื่อยืนยันว่าไม่ได้โกหกอย่างแน่นอน ซึ่งภีมจำได้ว่าเป็นพ่อของกุ้งแก้วนั่นเอง นั่นทำให้คนที่อุตส่าห์รีบไปอู่แต่เช้าจำต้องยืนอยู่นิ่งๆ หน้าจ๋อยไปตามระเบียบ ไม่กล้าที่จะเข้าไปวุ่นวายอะไรเพราะรู้ดีว่าทั้งสองเป็นญาติกัน เขาที่เป็นเหมือนคนนอกหมดสิทธิ์เข้าไปก้าวก่าย
----------
“วันนี้ว่างเหรอนุ่น ถึงได้หอบขนมมาให้พี่ขายได้เนี่ย”
เกวลินเอ่ยทักทายเสียงหวานเมื่อเห็นลลีนาเดินเข้ามาในร้านพร้อมถุงใส่ขนมหวานแบบไทยๆ อย่างบ้าบิ่นมะพร้าวอ่อนที่จัดใส่กล่องมาขนาดกำลังพอรับประทาน
“ค่ะพี่ลิน อยากพักสายตาสักหน่อย เมื่อวานแปลนิยายเสร็จส่งให้สำนักพิมพ์ไปแล้ว วันนี้เลยลงครัวทำขนมแก้เหงามือเสียหน่อย” หญิงสาวยื่นขนมให้พี่สะใภ้ แล้วก็วางกระเป๋าสะพายกับแท็บเล็ตไว้ที่เคาน์เตอร์
“อ๋อ เมื่อวานไม่มาร้านเพราะอย่างนี้นี่เอง ใครบางคนเลยมารอเก้อเลย” เกวลินเอ่ยลอยๆ ออกมา
“ใครมารอใครเก้อเหรอคะ”
“ก็เมื่อวานนี้คุณภีมเขามาที่ร้านน่ะสิจ๊ะ นั่งดื่มกาแฟแล้วก็ทำงานอยู่พักใหญ่เลยนะ เห็นชะเง้อชะแง้มองที่ประตูอยู่บ่อยๆ น่าจะมารอเจอนุ่นนั่นแหละ”
“ไม่หรอกค่ะ เขาคงแค่ผ่านมามากกว่า” ลลีนาว่าอย่างนั้น ก็คนในวงการอย่างเขาคงมีงานยุ่งทั้งวัน ไม่มานั่งทำอะไรแบบที่เกวลินว่ามาหรอก
“เอาเถอะ จะแค่ผ่านมาหรือตั้งใจมาแต่อย่างน้อยท่าทางนั่นก็น่าคิดอยู่นา...” พี่สะใภ้ยังไม่วายหยอดมาอีก จนลลีนาต้องส่ายหน้า อีกฝ่ายถึงได้เปลี่ยนเรื่องคุย “นี่ ว่าแต่พรุ่งนี้พี่จะรบกวนนุ่นพากุ้งแก้วไปสตูดิโออีกได้ไหมจ๊ะ พรุ่งนี้พี่เมธติดงานอีกแล้วน่ะ”
“ได้ค่ะ ช่วงนี้นุ่นเองก็ยังไม่มีงานใหม่เข้ามา”
ลลีนาไม่รู้ตัวว่าพอเธอรับปาก พี่สะใภ้ก็แอบยิ้มออกมา
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **