เขาเลื่อนใบหน้าหล่อเหลานั้นเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกที ใกล้จนถึงขนาดที่เธอสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นๆ จากจมูกโด่งเป็นสันได้รูป เธอไม่กล้ามองสบตาเขาทำได้แต่เพียงหลุบตามองแค่ปลายจมูกของเขาเท่านั้น แล้ววินาทีต่อมาเมื่อริมฝีปากร้อนผ่าวของเขาแนบลงมาบนกลีบปากบางของเธอ หัวใจของหญิงสาวก็ไหวระรัวเหมือนมันจะหลุดออกมานอกอกเสียให้ได้
วินาทีนั้นเธอไม่รับรู้สิ่งใดรอบกายอีกแล้ว รับรู้ก็เพียงแต่สัมผัสร้อนที่ริมฝีปากซึ่งกำลังทวีความร้อนแรงขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะเมื่อมือใหญ่หยาบกร้านเช่นคนทำงานหนักในไร่ในฟาร์มเช่นเขากำลังลูบไล้ทั่วแผ่นหลัง เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะหลอมละลายเสียให้ได้ หญิงสาวรู้แจ้งแก่ใจว่าหากไม่มีอะไรมาขัดขวาง เธอก็คงจะเตลิดลอยคล้อยตามสัมผัสหวามที่เขาเป็นคนมอบนี้ไปจนสุดทางเป็นแน่
ครืด ครืด
เสียงโทรศัพท์มือถือที่ถูกตั้งไว้เป็นระบบสั่น กำลังสั่นครืดๆ อยู่บนโต๊ะ ลลีนาจำต้องละมือจากแป้นพิมพ์โน้ตบุ๊กแล้วหันมามองหน้าจอโทรศัพท์ ซึ่งปรากฏชื่อเกวลินพี่สะใภ้ของเธอเอง
“ว่าไงคะพี่ลิน” หญิงสาวกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงสบายๆ ไม่ได้เดือดร้อนใจที่โดนขัดจังหวะการทำงานที่กำลังลื่นไหลอยู่เลยสักนิด
“กำลังยุ่งอยู่หรือเปล่านุ่น” ฝ่ายนั้นถามมาด้วยน้ำเสียงติดเกรงใจ
“ไม่ยุ่งหรอกค่ะ พี่ลินมีอะไรจะให้นุ่นช่วยหรือคะ ที่ร้านคนเยอะเหรอ” ลลีนาเอ่ยถามถึงร้านกาแฟที่ตึกแถวห้องริมสุดซึ่งตั้งอยู่ริมถนนใหญ่ แม้ไม่ได้อยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เช่นสีลมหรือสาทร ทว่าในย่านนี้ก็มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่ไม่น้อย ดังนั้นกิจการร้านกาแฟ ‘Cozy Café’ ของเกวลินจึงมีลูกค้าแวะเวียนมาใช้บริการไม่เคยขาด เพราะนอกจากทำเลอยู่ติดริมถนน และมีที่นั่งติดแอร์เย็นฉ่ำภายในร้านซึ่งเน้นการจัดแต่งแบบโปร่งโล่งสบาย ข้างร้านยังมีโต๊ะตั้งอยู่ในสวนหย่อมเล็กๆ ที่มีไม้ใหญ่ให้ร่มเงาร่มรื่น รวมถึงสวนไม้ดอกเล็กๆ ที่เกวลินใส่ใจดูแลเป็นอย่างดีด้วย
“เปล่าจ้ะ ที่ร้านตอนนี้พี่กับเด็กๆ ยังรับมือไหว แต่พี่จะรบกวนให้นุ่นพากุ้งแก้วไปถ่ายรายการที่สตูดิโอหน่อยได้ไหม ตอนแรกพี่คิดว่าพี่เมธจะกลับมาทันแต่เขากลับมาไม่ทันน่ะ เลยต้องรบกวนนุ่นพาหลานไปหน่อย นุ่นสะดวกไหมจ๊ะ” เกวลินเอ่ยถึงลูกสาววัยเจ็ดขวบที่วันนี้มีนัดถ่ายรายการเด็ก ชื่อรายการ ‘ขบวนการอาทิตย์ยิ้มแฉ่ง’ ของสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งที่ได้รับเงินสนับสนุนจากภาษีของรัฐบาลโดยเน้นผลิตรายการเพื่อเด็กและเยาวชน สารคดี สาระความรู้ต่างๆ ข่าวสารที่ทันเหตุการณ์และรายการวาไรตี้ที่สนุกและให้ความรู้
“ได้ค่ะ ไม่มีปัญหา งั้นขอนุ่นแต่งตัวแป๊บนะคะ” ลลีนารับปากพี่สะใภ้แล้วกดวางสายเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยขอบใจออกมา
ลลีนาไม่ลืมเซฟงานและปิดโน้ตบุ๊ก จากนั้นก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นเสื้อยืดพอดีตัวสีขาวกับกระโปรงผ้ายีนทรงเอยาวแค่เข่าและรวบผมเผ้าให้เรียบร้อย แต่งหน้าด้วยเครื่องสำอางเพียงอ่อนๆ เท่านั้น และคำว่าอ่อนที่ว่าของเธอก็คือลงแค่ครีมกันแดด แป้งฝุ่น ปัดแก้มบางๆ และทาลิปกลอส เป็นการแต่งหน้าที่คนรู้จักพากันค่อนขอดว่าเธอควรจะแต่งหน้าให้มีสีสันกว่านี้สักหน่อย แต่ลลีนาก็ไม่เคยทำตามคำแนะนำนั่นสักครั้ง เธอพึงพอใจกับใบหน้าที่มีเพียงสีสันบางๆ แบบนี้ แน่นอนว่ามีเพื่อนเคยแอบแซะแอบแซวเหมือนกันว่าหากพวกหล่อนมีใบหน้าเป็นรูปหัวใจ ตากลมโตดำขลับ จมูกโด่งเล็กๆ และริมฝีปากบางเฉียบสีชมพูระเรื่อแบบเธอ ก็คงไม่เสียเวลามานั่งแต่งหน้าเพื่อกลบจุดด้อยดึงจุดเด่นให้กับตัวเองเหมือนกัน ลลีนาเห็นขำกับคำแซวพวกนั้นและไม่เคยโกรธเพื่อนเลยสักที จนเพื่อนหลายคนเคยเอ่ยปากถามว่าชีวิตนี้เธอโกรธใครเป็นบ้างหรือเปล่า เธอแย้งไปเสมอว่าเธอเป็นคนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูนที่ไหน ดังนั้นอารมณ์โกรธก็เคยมีบ้างเพียงแต่นานๆ ครั้งก็เท่านั้นเอง
เมื่อจัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยลลีนาก็ยิ้มให้กับตัวเองในกระจก ก่อนจะเดินออกมาจากห้องน้ำคว้าโทรศัพท์มือถือใส่ในกระเป๋าสะพายใบย่อม หยิบกุญแจรถมาถือไว้แล้วเดินลงจากห้องนอนชั้นสองของบ้าน
“จะไปไหนน่ะลูก” ลินดา...มารดาของเธอกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนั่งเล่นกลางบ้านหันมาเอ่ยถาม
“เมื่อกี้พี่ลินโทร.มาบอกให้ช่วยพากุ้งแก้วไปถ่ายรายการที่สตูดิโอน่ะค่ะ เห็นว่าพี่เมธกลับมาไม่ทัน”
“อ้อ เหรอ ขับรถดีๆ นะลูก” มารดาเอ่ยแค่นั้นก่อนจะหันกลับไปสนใจหนังสือในมือต่อ ไม่ได้ซักถามอะไรอีก ซึ่งถ้าหากเป็นเมื่อก่อนไม่มีทางแน่ที่เธอจะได้ไปไหนมาไหนเพียงลำพังแบบนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่ามารดาเป็นห่วงด้วย ลลีนาเป็นลูกคนเดียว พอบิดาจากไปก็เหลือกันเพียงสองคนแม่ลูก มารดาจึงเลี้ยงดูเธอมาแบบที่ใครๆ ก็พากันบอกว่าทะนุถนอมราวกับไข่ในหิน แต่ลลีนาไม่คิดแบบนั้น เพราะพอเธอเรียนจบ มารดาก็ปล่อยให้เธอไปไหนมาไหนเองได้ตามลำพัง เหมือนบอกเป็นนัยว่าเธอโตแล้ว สามารถรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
“ไปนะคะแม่” ลลีนาเอ่ยกับมารดาแล้วก็รีบเดินไปยังโรงจอดรถหน้าบ้าน เพราะกลัวว่าหลานจะรอนาน
หญิงสาวจัดการสตาร์ตรถโฟล์กสีครีมรุ่นปีเก้าศูนย์ ซึ่งเป็นรถที่เธอรักนักรักหนาเพราะบิดายกให้ แม้มันจะเก่าแต่มันก็มีความทรงจำมากมายอยู่ในนั้น เธอจึงไม่อาจตัดใจจอดมันทิ้งไว้ที่บ้านเฉยๆ แล้วไปใช้รถอีกคันที่มารดาซื้อให้เมื่อตอนที่เรียนจบปริญญาโท แม้บางครั้งมันจะเกเรบ้าง แต่ก็ได้ลูกพี่ลูกน้องอย่างเมธาซึ่งบิดาของเขาเป็นน้องชายของมารดาเธอ คอยซ่อมให้และวางเครื่องให้ใหม่ เธอจึงใช้เจ้ารถเก่าคันนี้มาได้หลายปีและรู้สึกอุ่นใจทุกครั้งเหมือนว่าได้อยู่ใกล้ๆ บิดา
----------
ไม่ถึงห้านาทีลลีนาก็มาถึงร้านกาแฟของเกวลิน ที่ใช้เวลาเพียงน้อยนิดก็เป็นเพราะแค่ขับรถออกจากรั้วบ้านมาตามถนนในซอยไม่เท่าไรก็เจอตึกแถวริมถนนแล้ว ซึ่งในย่านนี้ล้วนเป็นตึกแถวที่ตากับยายของเธอลงทุนสร้างเอาไว้และปล่อยให้เช่านั่นเอง น้าสุเมธ...บิดาของเมธาขอตากับยายเอาไว้หนึ่งคูหาห้องริมเพราะตั้งใจว่าจะทำการค้า แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำเพราะติดรับราชการ ตึกแถวห้องนี้จึงเพิ่งได้มาใช้งานก็ตอนที่เกวลินแต่งงานกับเมธานี่เอง
เกวลินไม่อยากเป็นเพียงแม่บ้านของนายทหารสัญญาบัตรอนาคตไกลที่ได้แต่อยู่บ้านเป็นคุณนายเฉยๆ หรือคอยออกงานสังคมกับสามีเท่านั้น เธอพอจะมีความรู้เรื่องเบเกอรี่และทำอาหารง่ายๆ ได้ จึงไปเรียนชงกาแฟและเครื่องดื่มสูตรต่างๆ เพิ่มเติม จากนั้นก็ขอเปิดร้านกาแฟเล็กๆ แต่อบอุ่นแห่งนี้ขึ้น ด้วยราคาขายที่ไม่แพง บวกกับมีที่นั่งสบายๆ ก็ทำให้ร้านกาแฟของเกวลินทำรายได้ในแต่ละเดือนได้ไม่น้อย จนทำให้บางวันลลีนาก็ต้องวางมือจากงานแปลนิยายมาช่วยที่ร้านหากวันไหนลูกค้าเยอะ รวมถึงบางทีเธอก็ทำเค้กหรือขนมหวานจากผลไม้ตามฤดูกาลมาช่วยวางขายในร้านเพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น
ลลีนาผลักประตูกระจกใสเสียงดังกรุ๋งกริ๋งเดินเข้ามาในร้าน ก็เห็นว่าหลานสาวกำลังนั่งยิ้มรออยู่แล้ว
“อานุ่นมาแล้วค่ะแม่ หนูไปเลยนะคะ” กุ้งแก้วหันไปบอกมารดาที่กำลังสาละวนชงเครื่องดื่มอยู่
“อ้าว จะไม่ให้อาเขากินกาแฟหน่อยเหรอลูก เอาสักแก้วไหมนุ่น” เกวลินละจากงานตรงหน้ามาพูดกับลูกสาวแล้วเอ่ยถามลลีนา
“ไม่เป็นไรค่ะพี่ลิน เดี๋ยวขากลับนุ่นค่อยมานั่งกินก็ได้ รีบไปดีกว่าจะได้ไม่สาย” ลลีนาตอบพี่สะใภ้ในจังหวะที่หลานสาวคว้ากระเป๋าเป้ลายม้ายูนิคอร์นการ์ตูนเรื่องโปรดมาสะพายหลังแล้ว ก่อนจะตามด้วยคว้ามืออาสาวเอาไว้แล้วออกแรงดึงให้ออกจากร้านไปด้วยกัน
“ไปค่ะอานุ่น”
ลลีนายิ้มให้หลานสาวแล้วออกเดินตาม กุ้งแก้วดูจะใจร้อนอยากไปทำงานเร็วๆ เสียเหลือเกิน
** หมายเหตุ: นิยายที่ลงในเว็บยังไม่ใช่ฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **